
ออกเดินธุดงค์เป็นครั้งแรก
ออกพรรษาแล้ว โยมมารดา ได้ลากกลับไปบ้านอยู่กับลูกหลานที่บ้านเดิม ข้าพเจ้าไม่มีภาระประการใด จึงอยากจะออกวิเวก ไปหาที่ทำความเพียรตามป่า ตามเขาบ้าง ตามธรรมเนียมของพระกัมมัฏฐาน ชักชวนได้เพื่อนผู้หนึ่ง เป็นสามเณรองค์หนึ่งเป็นเพื่อนออกเดินธุดงค์จากสำนักที่จำพรรษา สถานที่แรกที่จะไปเป็นจุดหมายปลายทางแรก คือไปนมัสการพระธาตุพนม ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าออกเดินทางจากวัดด้วยเท้า เพราะการคมนาคมสมัยนั้นลำบากมากจากอำเภอเลิงนกทา อุบลราชธานี ไปยังจังหวัดนครพนมนั้นไม่มีถนนสำหรับรถยนต์วิ่งได้เลย มีแต่ทางเกวียน และทางชาวป่าจึงพากันเดินกับสามเณร เดินธุดงค์ข้ามดงมะอี่ ผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ไป จากอำเภอเลิงนกทา กว่าจะถึงพระธาตุพนม ใช้เวลาถึง 7 วัน 7 คืน จึงถึง
หยุดพักนมัสการพระธาตุพนมพอสมควรแล้วได้เดินทางต่อไปยังเมืองเว ( หรือเมืองเรณูนครในปัจจุบัน ) พักอยู่ที่นั่นประมาณ 2 เดือนจึงเดินทางกลับอุบลราชธานี ขากลับสามเณรไม่กลับด้วย คงอยู่เมืองเวต่อไป ข้าพเจ้าเดินทางกลับองค์เดียวจากเรณูนครถึงอุบลราชธานี ผ่านดงมะอี่องค์เดียว ระหว่างนั้นยังเป็นป่าเป็นดงอยู่ พอพ้นจากดงมะอี่มาถึงชายดงระหว่างเขตบ้านไร่กับบ้านหนองยางต่อกัน ก็ได้กลิ่นเหม็นประหลาดที่กลางดงนั้น ก็เลยคิดว่า กลิ่นเหม็นนี้เป็นกลิ่นอะไร ไม่ใช่ของสัตว์เพราะกลิ่นของสัตว์ไม่ใช่เหม็นอย่างนี้ จึงได้ออกเดินสำรวจดู พบซากศพคนตายอยู่ข้างหาง ร่างตกอยู่ในร่องทาง ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งอยู่ 1 ศพ ข้างศพมีถังสังกะสี 1 ใบ พร้าอีโต้ 1 เล่ม และผ้าขาวม้า 1 ผืน ปลายผ้าขาวม้าข้างหนึ่งมีขอดห่อของอะไรอยู่ด้วย
ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า “ แหม....เราได้เดินทางมาพบขุมทรัพย์อันประเสริฐแล้ว ยากที่จะพบเห็นได้ เราควรจะเพ่งศพนี้เจริญอสุภะให้ได้ “ เมื่อคิดอย่างนี้ จึงปลงบริขารไว้ที่ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วมายืนเพ่งซากอสุภะที่นอนตายนี้ ซากศพนี้คงจะตายมาหลายวันแล้ว ประมาณอย่างน้อย 5 – 6 วันมาแล้ว ร่างนั้นเน่าเปื่อยไปทั้งตัว ส่วนตับไตไส้พุงมีแต่หนอนเจาะไชกินหมด หรือแร้งกาเอาไปกิน ส่วยนัยน์ตาก็มีแต่หนอน ในปากก็มีแต่หนอนตาทั้งสองก็มีแต่หนอน เพ่งแล้วก็น้อมมาดูตัวว่า อีกหน่อยตัวเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ในขณะที่เพ่งอยู่อย่างนั้น ใจหนึ่งก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าแหมซากอสุภะเป็นของที่น่าอุจาด เราควรจะเผาเสียให้หายอุจาดตา เพราะท่านว่า การเผาซากศพคนตายแล้วจะได้บุญได้กุศลมาก ใจคิดอยากจะได้บุญมากจึงคิดจะเผา โดยลืมคิดไปว่า ยังมีสัตว์ตัวเล็ก ๆ อยู่ในซากศพนั้นอย่างมากมาย จึงไปหากิ่งไม้แห้งเล็กมาเตรียมไว้ที่ข้างศพ แต่พอเก็บเอาฟืนกิ่งไม้มาแล้ว ใจหนึ่งก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า “ เราเป็นพระภิกษุสงฆ์ เราจะมาเผาซากอสุภะนี้ได้อย่างไร เพราะดินตอนนี้ยังมีหญ้าเขียวสดอยู่ ส่วนซากอสุภะก็ยังมีตัวสัตว์อยู่เยอะแยะ ถ้าเราเผามันก็เป็นโทษ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ฆ่าสัตว์ และทำลายพืชสดของเขียวมิใช่หรือ ทำคุณจะได้โทษ ทำบุญจะกลับได้บาปนะนี่ “
คิดแล้วจึงตกลงไม่เผา กลับมายืนพิจารณาซากอสุภะนั้นต่อไป เห็นหมู่หนอนทั้งหลายพยายามเวียนบ่อนเจาะไชกัดกินอยู่ตามซากอสุภะนั้น ในปากก็เต็มไปด้วยหนอน ตาทั้งสองก็เต็มไปด้วยหนอน ในซี่โครงในอกก็เต็มไปด้วยหนอน ขาทั้งสองก็เต็มไปด้วยหนอนทวารหนักทวารเบาก็เต็มไปด้วยหนอน มีกลิ่นอันเหม็น
ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าเพ่งอยู่นั้น นับแต่เริ่มเดินมาถึงซากอสุภะเป็นเวลาเที่ยงวัน จนกระทั่งเวลาบ่ายสามโมง นับเป็นเวลา 3 ชั่วโมงเต็ม แต่ก็ยังไม่พอใจอยากจะพักค้างคืน พิจารณาอสุภะต่อไปจนตลอดคืน มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง มิได้มีความกลัวเลย คิดแต่ว่าจะต้องเจริญอสุภะให้ถึงที่สุด
ตกบ่ายสามโมง ได้มีชาวบ้าน 2 คน เดินด้อม ๆ มอง ๆ มาดูศพ ข้าพเจ้ามองเห็นจึงถามเขาว่า “ ศพนี้ตายด้วยโรคอะไร “ ชาวบ้าน 2 คนตอบว่า “ ศพนี้เป็นคนอนาถา ตายเพราะเขาอดอยาก จึงมาตายที่นี่ “ จึงถามเขาว่า “ แล้วพวกโยมมาทำไม “ เขาตอบว่า “ พวกผมมาเพราะเจ้านายใช้ให้มาตรวจดูรักษาศพไว้ เพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มีการชัณสูตรพลิกศพตามกฎหมาย “ ข้าพเจ้าก็ถามเขาต่อไปว่า “ อาตมามาเห็นซากอสุภะนี้แล้ว ถ้าอยากจะขอค้างคืนพิจารณาศพนี้จะได้ไหม “ เขาตอบว่า ไม่ได้ครับ เพราะศพยังไม่ได้ชัณสูตรถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าท่านมาหยุดพิจารณาอยู่ที่นี่เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาจะสงสัย หาว่าฆ่าคน ขอนิมนต์ให้ท่านหลีออกไปให้พ้นศพนี้เสีย “ ข้าพเจ้ามองเห็นของที่วางอยู่ข้างกายศพ ซึ่งคงจะเป็นสมบัติของผู้ตาย จึงถามเขาว่า “ ถ้าจะขอชักบังสุกุลสิ่งของที่อยู่กับศพจะได้ไหมเพื่อจะได้อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย “ เขาก็ตอบอีกว่า “ ไม่ได้ครับ เพราะยังไม่ได้ชัณสูตร ถ้าไปชักผ้าบังสุกุลเขาอาจจะหาว่า ท่านฆ่าคนตาย จะมีความผิด ขอนิมนต์ท่านหลีกออกไปเสียเถอะ
เมื่อชายบ้านยืนยันปฏิเสธแน่นแฟ้นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางต่อไปตกเย็นเดินทางมาถึงบ้านไพนหนามแท่ง อำเภออำนาจเจริญ จึงได้หยุดพักปักกลดที่ร่มไม้แห่งหนึ่งริมป่าช้า ข้าพเจ้าอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว ถึงเวลาพลบค่ำก็เข้าที่ไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็นั่งภาวนาพิจาณาซากอสุภะที่เห็นเมื่อกลางวัน แล้วน้อมเข้ามาหาตัว เมื่อพิจารณาอยู่.... ขณะนั้นปรากฏในจิตว่ามีซากอสุภะเกิดขึ้นรอบตัวเต็มไปหมด จนกระทั่งจะกระดิกตัว กระดิกขาไม่ได้เลย ขยับตัวไม่ได้จะไปกระทบเอาซากอสุภะเหล่านั้นเข้า พอหลับตาเข้าก็เห็นเต็มไปหมดเลยจึงน้อมเข้ามาสู่ร่างกายของเราว่า ร่างกายของเรานี้ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ดับขันธ์เปื่อยเน่าไปเช่นนี้ ไม่อาจจะล่วงความเป็นเช่นนี้ไปได้ เกิดความสลดสังเวชในชีวิตของตนที่เกิดมาว่า มนุษย์เราจะต้องตายกันทั้งนั้น ไม่มีใครหนีความตายไปได้ รู้สึกว่าในคืนนั้น จิตใจสงบ เยือกเย็น สบายมากไม่มีกระดุกกระดิกเลย มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ได้นั่งภาวนาตั้งแต่ปฐมยามจนถึงตีสองพิจารณาซากอสุภะอยู่อย่างนั้น
เมื่อถึงตีสองได้เกิดลมพายุอย่างรุนแรง ฝนตกหนัก ขณะนั้นเป็นเดือนพฤษภาคม ฟ้าใหม่ ฝนใหม่ กำลังคะนอง ทั้งกลดและมุ้งที่กางไว้ถูกกลมและฝนปะทะจนปลิวสะว่อน กลดหมุนคว้าง ข้าพเจ้าก็เลยปลดมุ้งออกจากกลดเก็บพับ ผ้าสังฆาฏิก็เช่นกัน ต้องพับเก็บไว้ในบาตร ปิดฝาให้ดีแล้วนั่งกอดเข่าใช้มือประคองกลดจับคันกลดให้แน่นกันฝนไว้ นั่งภาวนาอยู่อย่างนั้น ทั้งลมและฝนก็ตกอยู่อย่างนั้น นั่งภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ จนจิตสงบ มีความรู้สึกว่าฝนก็เย็น ลมก็เย็น จิตใจก็สงบเยือกเย็นสบาย ฝนตกอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า ก็เลยหายไป พอรุ่งเช้า ข้าพเจ้าไปบิณฑบาตตามบ้านชาวบ้านฉันอาหารเสร็จก็ออกเดินทางต่อไป ข้าพเจ้าได้เดินทางกลับมาถึงบ้านเดิม ได้ไปเยี่ยมโยมมารดาซึ่งลาสิกขาบทจากแม่ชีกลับมาอยู่บ้านกับลูกหลานแล้ว ตอนนี้ข้าพเจ้าเกิดไม่สบายจึงต้องพักอยู่ที่บ้านเดิมชั่วคราว การเป็นไข้ป่าหรือไข้มาเลเรียครั้งนี้คงได้รับเชื้อมาจากดงมะอี่นั้นเอง
พอจวนจะเข้าพรรษา ท่านพระอาจารย์บุ พระครูทัศนประกาศ ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภออำนาจเจริญ ได้ส่งคนมารับข้าพเจ้าให้ไปจำพรรษาที่วัดทุ่ง บ้านชาติ หนองอีนิน อำเภอเลิงนกทา ซึ่งเป็นบ้านเดิมของท่านข้าพเจ้าก็รับนิมนต์ จึงไปจำพรรษาที่บ้านของท่านอาจารย์