พรรษา 10 พ.ศ 2495
จำพรรษาที่ดอนกระพุง
ชายป่าดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส
พรรษาที่ 10 นี้ ข้าพเจ้าจำพรรษาองค์เดียวอยู่ที่ดอนกระพุง ชายดงหม้อทอง บ้านม่วง อำเภอวานรนิวาส อาศัยชาวบ้าน 3 หลังคาเรือนบิณฑบาตเลี้ยงชีวิต พวกเขาเป็นคนจน เพราะเพิ่งอพยพเข้าไปหักร้างถางพงอยู่ใหม่ ๆ แม้จะจนยากหาเช้ากินค่ำ แต่ก็อดทนมาก มีศรัทธามาก
ที่บริเวณนั้น เชื่อกันว่า เป็นที่ขัดขวาง คือ เป็นที่ไม่ดีมีผีมาก เป็นทุ่งร้าง ว่างเว้นไม่มีคนกล้าไปทำมาหากิน เพราะว่า ไม่ว่าปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น แห้งแล้งทั้ง ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำสงคราม เขาเรียกกันว่า ทุ่งหนองอีดอนและทุ่งโซ่ง ทุ่งโซ่งนี้ เคยเป็นที่อยู่ของพวกคนป่ากลุ่มหนึ่ง เรียกกันว่า พวกโซ่ง แต่ตอนหลังก็ร้างไปหมด เป็นทุ่งว่าง แต่ก็มีลักษณะให้สังเกตคือยังมีต้นไม้ผล เช่น ต้นมะม่วงหลงเหลืออยู่ แสดงว่าคงมีบ้านเรือนผู้คนอยู่มาแต่โบราณ หากขณะนั้นเป็นที่ยำเกรงว่าอยู่ไม่ได้ ผีจะขัดขวางไม่ให้อยู่ ปลูกอะไรก็จะไม่งอกงาม
เมื่อข้าพเจ้าบอกว่าจะจำพรรษาที่นี่ ชาวบ้านก็ตกใจกันมาก บอกว่า อยู่ไม่ได้เพราะผีดุ ถ้าอยู่ผีมันจะโกรธ มาแกล้งทำให้เจ็บป่วยถึงตาย ที่ทุ่งนี้กลายเป็นที่ร้างไปก็เพราะเหตุนี้แหละ พวกเขามาตั้งบ้านเรือนกันก็ตั้งกันอยู่บริเวณรอบนอกหรอก
ข้าพเจ้าไม่ฟังเสียงของเขา คงจำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้นเพราะได้ตั้งใจไว้แล้ว
พอถึงกลางพรรษา เกิดนิมิตภาพขึ้นว่า พวกผี โซ่งพากันยกพรรค พวกมาเป็นฝูง ๆ พากันถือหอก ถือดาบ ถือปืน อาวุธนานาชนิด จะมาฆ่ามาฟันข้าพเจ้าให้ตาย เมื่อมาถึงข้าพเจ้าก็พากันรุมใช้ทั้งดาบฟันหอกแทงและปืนยิง ยิงเท่าไรก็ไม่ออก เอาหอกมาทุ่มแทงใส่ก็ไม่เข้า เอามีดเอาพร้ามาฆ่าฟันก็ไม่เข้า ทำอย่างไร ๆ จนสุดความสามารถของเขา แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายข้าพเจ้าได้ หัวหน้าผีก็เลยประกาศกับพวกบริวารผีว่า เมื่อเราทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว พวกเรามายอมท่านเสียเถอะ เลยพากันแต่งขัน มีดอกไม้ธูปเทียนมาคารวะบูชาข้าพเจ้า ยอมอ่อนน้อมต่อข้าพเจ้า
แม้จะเป็นเรื่องปรากฏในนิมิต แต่ก็ประหลาดอย่างยิ่ง ที่ต่อมาแถบบริเวณนั้นกลับปลูกบ้านเรือนได้ ปลูกข้าวทำนากันได้ผลดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอันตรายใด ๆ และพวกประชาชนคนอด ๆ อยาก ๆ ไม่มีไร่ไม่มีนา จึงได้พากันหลั่งไหล เข้าไปจับจองที่วางเหล่านั้นเป็นที่ทำกิน ต่อมาก็กลายเป็นไร่นาสาโททำข้าวกล้าบริบูรณ์ กลายเป็นคนพอมีพอใช้ มั่งคั่งพอสมควร
เมื่อออกพรรษาแล้ว ข้าพเจ้าได้ปรารภกับญาติโยมแถวนั้น ว่าอยากจะเข้าไปอยู่ในดงหม้อทอง เพราะบริเวณดอนกระพุงนี้ได้มีผู้อพยพ เข้ามามากแล้ว จึงควรหลีกเร้นหนีไปหาความสงัดต่อไป นอกจากนั้นได้ข่าวว่าดงหม้อทองมีถ้ำใหญ่ ๆ อยู่มาก มีภูเขาโขดหิน และพลาญหินสวยงามมากด้วย ซักถามถึงความข้อนี้ญาติโยมก็รับว่าจริง พวกผมเคยเห็น
ข้าพเจ้าจึงขอให้โยมเขาพาไป โดยเดินทางจากที่จำพรรษาตั้งแต่ฉันเสร็จในตอนเช้า เดินตลอดวันสภาพภูมิประเทศเป็นป่าทึบ รกชัฏ พวกโยมเดินหน้าก็ต้องใช้มีดพร้าถางทางนำหน้า พอเป็นช่องทางให้มุดลอด เดินไปได้ จนค่ำจึงถึงถ้ำที่ตั้งใจไป ข้าพเจ้าตรวจดูบริเวณ ก็เห็นว่าชัยภูมิน่าอยู่จริง จึงขอให้ญาติโยมถากถางรื้อหลังถ้ำที่มีต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์รกเลี้ยวปกคลุมอยู่ เลยพักนอนที่นั่น ตอนค่ำได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องระงมในดง มีเสือมากมีช้างมาก คืนนั้นเสือมาร้องคราง คำรามอยู่โดยใกล้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเสือร้อง ทำเสียงเลียนสัตว์ต่าง ๆ ได้ที่ดงหม้อทองนี้เอง
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้อง “ อู้ด...อื้อ อู้ด...อื้อเหมือนเสียงวัว ได้ยินครั้งแรกก็เข้าใจว่าเป็นวัว จึงถามโยมบอกว่า ไม่ใช่วัวหรอกครับ...เลยถามว่างั้นอะไร...ตอบว่าเป็นเสียงเสือใหญ่ครับ ...แล้วเสือทำไมร้องเสียงเหมือนวัวล่ะ...ญาติโยมบอกว่า มันร้องอย่างนี้แหละครับ ธรรมดาเสือจะจับสัตว์อะไร ก็จะต้องร้องเหมือนเสียงสัตว์นั้น หากต้องการจับวัวก็ร้องเสียงเหมือนวัว เพื่อล่อวัว ถ้าจะจับหมาก็เห่าเหมือนหมาถ้าจะหลอกกวาง ก็ร้องเหมือนกวาง ....ปี๊บ....ปี๊บ เช่นนั้น จะหลอกไก่ ก็ขันเหมือนไก่ แม้แต่มนุษย์เมื่อมันจะหลอกมันก็จะทำเสียงเหมือนคนพูดกันพึมพำทำให้คนหลงเชื่อ นึกว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน เดินเข้าไปใกล้โดยไม่ระวังก็จะถูกจับเป็นเหยื่อได้โดยง่าย
ข้าพเจ้าจึงได้รู้อุบายอันชาญฉลาดของเสือ ตอนดึกเสียงร้องเหมือนวัวก็หายไป และได้ยินเสียงร้องเปลี่ยนใหม่ เป็น หม่าว อือ หม่าว อือ ฟังชัดๆก็เป็นอ่าว อือ อ่าวอือ ตลอดคืนยังรุ่งเสียงไม่มีตกหรือเบาลงเลย ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่ที่นั้น ฟังไปฟังมาก็ชักคุ้นกับเสียงเสือ ไม่ได้นึกกลัวเลยอยากให้มันมาร้องให้ฟังทุกคืนทุกวัน เพราะมันไพเราะดีและทำให้จิตสงบเร็วดี
ฤดูแล้งแรกที่เข้าไปอยู่ดงหม้อทองนั้น พวกญาติโยมที่ตามเข้าไปด้วยเขาอยากจะไปตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในดงหม้อทองบ้าง ข้าพเจ้าจึงไปช่วยเลือกที่กำหนดที่ให้เขาตั้งบ้าน เขาก็เลยถากถางป่าสร้างบ้านและ....ก็บอกกล่าวต่อ ๆ กันไปว่า ข้าพเจ้าเจาะดงเข้าไปแล้ว และจะอยู่จำพรรษาที่นั่นด้วย ความที่เขาเคยกลัวผี กลัวป่าดงพงพี กลัวสัตว์ป่า ก็คลายลง กลับมีความอุ่นใจขึ้นมาแทนที่ ประชาชนจากถิ่นต่าง ๆ จึงทยอยกันตามมา ตั้งถิ่นฐานบ้านช่องเพราะเห็นว่า ที่ดงหม้อทอง ดินอุดมสมบูรณ์ ที่ทำเลทำมาหากินสะดวก พวกประชาชนก็เลยอพยพตามเข้าไปตั้งบ้านเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เดิมทีดงแห่งนี้ ไม่มีหมู่บ้านข้าพเจ้าจึงเริ่มตั้งหมู่บ้านขึ้นให้ชื่อว่า “ บ้านดงหม้อทอง “
ไปอยู่ทีแรก พวกเขาก็ต้องก่อร่างสร้างตัว อดมื้อกินมื้อกันทั้งนั้น แต่ภายหลังเมื่อตั้งบ้านเป็นปึกแผ่นแน่หนาแล้ว เดี๋ยวนี้ เขาก็เป็นผู้มีหลักฐาน มีทรัพย์สมบัติพอสมควร มีไร่นาสาโท มีโรงสี โรงเรือน ไม่ยากจนข้นแค้นกันอีก
พวกชาวดงหม้อทองนี้ แม้ข้าพเจ้ามาอยู่ภูทอกแล้ว เขาจะพาลูกหลานจัดผ้าป่ามาเยี่ยมข้าพเจ้าที่ภูทอกเป็นประจำทุกปี เด็กเล็ก ๆ ในสมัยนั้น มาปัจจุบันนี้จบปริญญาทำงานการกันเป็นหลักฐานหลายสิบคน