พรรษาที่ 17 พ.ศ.2502
จำพรรษาที่ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมภู อ.โพนพิสัย
พรรษาที่ 17 นี้ ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำจันทน์แต่เพียงองค์เดียว ระยะมาอยู่แรก ๆ ในขณะเดินจงกรมเวลาพลบค่ำหรือยำรุ่ง จะได้ยินเสียงเหมือนคนพากันเดินพูดคุยอยู่บนพลาญหินกันเป็นหมู่ เสียงเด็กก็มีเสียงผู้ใหญ่ก็มี เสียงผู้หญิงก็มากมาย คล้าย ๆ กับไม่ได้อยู่กลางป่ากลางดงเช่นนั้นแหละ พอดึกขึ้นหรือสายเข้าเสียงนั้นก็หายไป บางทีก็ได้ยินเสียงคล้าย ๆ กับม้าวิ่งมาเป็นฝูง มีเสียงคนพูดจาถกเถียงกัน เอะอะผ่านหน้าที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ บางวันใกล้สว่าง ได้ยินเสียงเหมือนคนสวดมนตร์ไหว้พระทำวัตร เพราะที่ถ้ำจันทน์นี้มีวัตถุโบราณเช่น พระโบราณ ฝังอยู่ในดินมาก เวลาขุดรื้อถ้ำให้ราบเรียบพอจะอยู่อาศัยได้ จะพบแขนพระ เศียรพระ และองค์พระก็มีส่วนใหญ่แตกเป็นพระเกสรโดยมาก เป็นสถานที่สำคัญมากรอบบริเวณอุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เช่น หมูป่า เก้ง กวาง นก ส่วนสัตว์ใหญ่ เช่น เสือ ช้าง หมี ก็ยังอุดมสมบูรณ์ เพราะเป็นป่าเป็นดงจริง ๆ งูใหญ่เช่น งูจงอางก็มากอยู่ พวกช้าง พวกเสือจะมาเยี่ยมกรายเข้ามาบ่อย ๆ มาจนใกล้ทีเดียว หาอาหารอยู่ในบริเวณเดียวกับมนุษย์ ต่างฝ่ายต่างอยู่ ต่างฝ่ายต่างหากินอยู่ด้วยกันความสงบสันติดังนี้
ความจริงที่นั้นเป็นที่อยู่ของพวกสัตว์ป่าเขาต่างหากเป็นบ้านของเขา เรามนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้ล่วงล้ำก้ำเกินเข้าไปในแดนของเขา จึงต้องเคารพสิทธิของเขา ถ้ำจันทน์อยู่ห่างจากหมู่บ้านมาก ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปอยู่ต้องอาศัยบิณฑบาตจากพวกชาวข่าดังกล่าวแล้ว ซึ่งเขาอพยพไปทำนาอยู่ห่างจากถ้ำจันทน์ประมาณ 100 เส้นเดินทางไปตามทางพลาญหิน ทางช้าง กว่าจะถึงทางเกียนก็ตั้งหลายเส้นทีเดียว บางวันระหว่างทางไปบิณฑบาตก็เจอหมู่ช้าง บางวันก็เจอพวกหมีอยู่กลางทาง ...ดังนี้แลชีวิตของพระธุดงค์กัมมัฏฐานนี่เสี่ยงต่อความเป็นความตาย ไม่เห็นแก่ความตาย ไม่เห็นแก่ชีวิต เห็นธรรมเป็นของมีคุณค่ามากกว่าชีวิต เห็นชีวิตเป็นของที่ต่ำ ๆ กว่าธรรม
การไปบิณฑบาตที่บ้านข่านั้น โดยมากข้าพเจ้าก็ฉันที่บ้านข่านั้นเองเพราะหนทางไกลมากกว่าจะกลับมาได้ก็จะต้องสายมากทีเดียว ถ้ำจันทน์เป็นสถานที่ซึ่งสัปปายะในการภาวนาอย่างยิ่ง อากาศดีมาก จิตรวมเร็ว คิดค้นดี ค้นในกายของเราอย่างไม่ลดละ สามารถภาวนาบำเพ็ญความเพียรได้อย่างเต็มที่เพราะได้อยู่คนเดียวโดยตลอด
นี่เป็นเวลาพรรษาที่ 17
หลังจากออกพรรษาแล้ว ในระหว่างฤดูแล้งที่อยู่ลำพังองค์เดียวที่ถ้ำจันทน์นี้ ได้เกิดอาพาธหนักเป็นไข้ป่า ไม่มียาฉันเลย ปล่อยให้ธาตุขันธ์มันเยียวยาตัวเองไปตามธรรมชาติ ตอนบ่ายเป็นไข้จับสั่น ตอนเย็นพอพลบค่ำไข้ก็หยุดจับ สามารถลงไปกรองเอาน้ำที่เชิงเขาได้ กว่าจะกลับถึงที่พักก็มือสนิท เป็นอยู่เช่นนี้ทุกวันถึง 1 เดือน ไข้ก็เป็นอยู่ไม่หาย เพราะไม่มียาและอยู่องค์เดียว
ระหว่างที่ยังเป็นไข้อยู่นี้ วันหนึ่งข้าพเจ้าได้นอนภาวนา กำหนดจิตอยู่ ขณะจะเคลิ้มหลับแหล่มิหลับแหล่ อยู่ระหว่างกึ่งกลางความหลับและความไม่หลับนั้น ได้นิมิตภาพว่าโยมบิดาซึ่งสิ้นชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ 16 ปี ได้มาหาโยมบิดานี้ ท่านเป็นหมอพื้นบ้าน ช่วยรักษาไข้ให้เพื่อนบ้านใกล้เคียง ชาวบ้านเขานิยมท่านมาก ปรากฎในนิมิตว่า โยมบิดาได้สะพายร่วมยามาหาข้าพเจ้าและถามว่า
“ คุณลูกเป็นอะไร “
ข้าพเจ้าได้บอกท่านว่า “ ป่วยเป็นไข้ป่า ป่วยมาแล้ว 1 เดือน ยังไม่หาย ไม่มียาฉัน “
โยมบิดาเลยว่า “ เออ...งั้นจะฝนยาให้กิน เดี๋ยวก็หาย “
ว่าอย่างนั้นแล้ว โยมก็แก้ร่วมยาออกเอาน้ำใส่ขัน แล้วก็ฝนยาใส่ขันน้ำ ในขณะที่โยมบิดาฝนยาอยู่นั้น กลิ่นของยา...หอมน่าฉัน น่าดื่มจริง ๆ ทีเดียว รู้สึกว่าสูดแต่กลิ่นก็พอแล้ว คล้าย ๆ กับว่า จะมีกำลังเพิ่มขึ้นเลย เมื่อโยมฝนยาเสร็จแล้วก็ยกมาถวายให้ดื่ม ข้าพเจ้าฉันจนหมดยาในขันนั้น
พอฉันเสร็จก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นพอดี นึกว่าตัวได้ฉันยาจริง ๆ เมื่อได้พิจารณาแล้ว จึงรู้ว่าเป็นเรื่องของนิมิต หรือความฝันต่างหาก ต่อจากนั้นมาวันใหม่อาการของไข้ก็ลดลงไป จนหายขาด ไม่มีไข้อีกต่อไปและร่างกายก็มีกำลังขึ้น ฉันอาหารก็ได้เป็นปกติตั้งแต่นั้นมายังไม่เคยปรากฏการเจ็บป่วยแบบนั้นอีก จะไปอยู่ที่ไหน ๆ รู้สุกว่าอาการไข้ไม่มี จะเป็นเพราะเหตุอะไรข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ถ้าจะว่า เป็นเพราะได้ฉันยานั้นของโยมบิดาแต่ก็ไม่ได้ฉันจริง ๆ ฉันด้วยนิมิตในความฝันต่างหาก
เมื่อการเจ็บป่วยได้หายสนิทแล้วก็ระลึกถึงคุณบิดามารดา ว่าพระคุณของท่านนั้นมีมากมายมหาศาลหาประมาณมิได้ เลยแผ่อุทิศส่วนบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญมาตั้งแต่น้อยมาตลอดชีวิต ขออุทิศให้แก่โยมทั้งสอง คือบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ถ้าหากดวงวิญญาณของท่านจะสิงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด คติใด กำเนินใด ภพใด และชั้นใดขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศให้นี้ จงไปถึงโยมทั้งสองและให้ท่านได้รับส่วนบุญกุศลนี้ เมื่อได้รับแล้ว ขอให้โยมทั้งสองได้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายใด ๆ
นึกอุทิศบุญกุศลดังนี้แล้ว ต่อจากนั้น อาการไข้ก็สงบลงโดยเด็ดขาด

ถ่ายที่ถ้ำจันทร์ เมื่อปี 2502 กับศิษย์รุ่นแรกๆ

ถ้ำจันทร์ เมื่อปี 2505 ญาติโยมต้องหาบอาหารเข้าไปเป็นวันๆ ผู้ที่ยืนขวาสุด คือ คุณประพักตร์ โสฬสจินดา ที่ท่านอาจารย์เอ่ยถึงบ่อยๆในประวัติ