พรรษาที่ 9 พ.ศ. 2494
ภูสะโกฏ บ้านหนองเม็ก นามน
ข้าพเจ้าเห็นว่าที่ภูสะโกฏนี้ เป็นชัยภูมิดี เป็นป่าอุดมสมบูรณ์ ร่มไม้สงบเยือกเย็น บริบูรณ์ด้วยถ้ำและเงื้อมหิน อากาศดี สงบสงัด น้ำท่าก็บริบูรณ์ จึงคิดจะจำพรรษาที่นี้ ได้ขอให้ญาติโยมช่วยปรับปรุงเสนาสนะเพื่อจะอยู่จำพรรษาญาติโยมเขาทำให้ 2 หลังเพราะมีพระ 2 องค์เท่านั้น ถ้ำที่พำนักอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตรการบิณฑบาตจึงไม่ลำบากเหมือนเมื่ออยู่ถ้ำพวง
ระหว่างพรรษาได้ปรารภความเพียรอย่างหนักการภาวนาดีมาก จิตรวมเป็นประจำมีนิมิตแปลกว่าพวกเจ้าภูมิ เจ้าฐานเขามาบอกในนิมิต ให้ข้าพเจ้าไปเอาพระพุทธรูปที่อยู่ในถ้ำสะโกฏ 7 องค์ เขายกให้ข้าพเจ้าไม่เชื่อ ไม่สนใจ จึงไม่ไป คืนที่ 2 เขาก็มาบอกอีก ข้าพเจ้ายังไม่ไป คืนที่ 3
เขามาบอกซ้ำและอ้อนวอนให้ไปเอา ตื่นเช้า ข้าพเจ้าเลยถามพวกญาติโยมและพระเณรในวัดบ้านดูว่ามีไหม เคยได้ยินไหม เณรวัดบ้านบอกว่า ผมรู้จักถ้ำสะโกฏครับ ข้าพเจ้าถามเณรว่าพาไปได้ไหมเณรบอกว่า ได้ครับ แต่เมื่อถึงแล้วอาจารย์ไปเอาเองนะผมไม่เข้าไปด้วย ผมกลัวผี
เณรเลยพาไป พอถึงถ้ำนั้น เณรก็ชี้ให้ดูว่า ถ้ำนี้แหละที่เขาว่ามีพระโบราณ ข้าพเจ้าเห็นก้อนหินใหญ่ปิดปากถ้ำอยู่ จึงงัดเอาก้อนหินนั้นออก มองเข้าไปเห็นพระพุทธรูปนอนเรียงอยู่ 7 องค์ เป็นพระพุทธรูปทองคำทั้งนั้น องค์ขนาดนิ้วหัวแม่มือทุกองค์ ข้าพเจ้าจึงเชิญออกมาสักการบูชา พอออกพรรษาแล้ว ข้าพเจ้าก็ให้ญาติโยมเอาพระพุทธรูปไว้คืนที่เดิม ไม่ได้ถือเอาติดตัวไปด้วยแต่ปัจจุบันจะอยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบ
ขณะจำพรรษาที่ 9 ที่ภูสะโกฏนี้ เกิดนิมิตว่าพวกเจ้าภูมิเจ้าฐาน ทางเชียงตุง ( ผีทางเชียงตุง ) ลงมาเยี่ยมข้าพเจ้า มากันเป็นขบวน ผีเชียงตุงสั่งผีดงมะอี่ว่าให้รักษาพระองค์นี้ให้ดีอย่าราวี อย่าเบียดเบียนพระองค์นี้นะ ผีเชียงตุงสั่งกำชับผีดงมะอี่ให้ดูแลรักษาข้าพเจ้า ผีดงมะอี่ก็รับคำและว่าจะระวังรักษาข้าพเจ้าไม่ให้มีอันตรายเลย นี่เป็นปรากฏการณ์ในนิมิต จะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ขอท่านผู้ฟังโปรดพิจารณาเอาเองแต่ทว่า นับตั้งแต่นั้นมาการอยู่ที่ภูสะโกฏนั้นก็สุขสบายดี ข้าพเจ้าไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรเลย
ครั้นออกพรรษาแล้ว ก็พากันแยกย้ายออกเที่ยววิเวก ตามสมณวิสัยของพระธุดงค์กัมมัฏฐาน มุ่งหน้าไปสู่จังหวัดสกลนคร เมื่อไปถึงอำเภอสว่างแดนดินได้ข่าวว่าหลวงปู่ขาวมาอยู่จำพรรษา ที่ถ้ำค้อ ดงหลุบหวาย หลุบเทียน เลยพากันเดินขึ้นไปกราบนมัสการท่าน ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น 1 พรรษาแล้ว ถ้ำค้ออยู่ไกลหมู่บ้านมากประมาณถึง 300 เส้นหรือ 12 กิโลเมตร การขบฉันท่านได้อาศัยแม่ชีทำอาหารถวาย โดยให้ชาวบ้านช่วยกันทยอยส่งเสบียงอาหารขึ้นไปถวายไว้ให้ท่าน ข้าพเจ้าไปพำนักอยู่ที่ถ้ำค้อกับท่านเป็นเวลาถึง 2 เดือน เพราะเป็นที่วิเวกดี มีถ้ำ ชะเงื้อมเขามาก
ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ขาวเล่าให้ฟังว่า เมื่อมาอยู่ครั้งแรกที่ถ้ำค้อนี้ เป็นถ้ำงูใหญ่เห็นเป็นรูลึกลงไปในพื้นเขา มืดจนมองไม่เห็นว่าลึกสักปานใด ท่านไปนั่งภาวนาอยู่ปากถ้ำ วันหนึ่งมีงูเลื้อยออกมาจากปากถ้ำเลื้อยมาใกล้ชิดกับขาของท่านทีเดียว ท่านลืมตาดู ท่านว่าทีแรก ท่านกลัวจนตัวแข็ง งูนั้นเมื่อเลื้อยมาถึงท่านแล้วก็นิ่งเฉย เหยียดตัวอยู่อย่างนั้น ไม่ไปไม่มา คล้ายกับจะมาเพิ่งพินิจดูอาคันตุกะใหม่แปลกปลอมเข้ามาในถิ่นของเขาให้เต็มตา เมื่อท่านได้สติ ก็พิจารณากำหนดความตาย และแผ่เมตตาให้ ไม่นานงูนั้นก็เลื้อยจากไปตามประสาของสัตว์
ในบริเวณล้อมรอบถ้ำค้อนั้น เป็นป่าใหญ่ดงทึบมีสัตว์ป่า เช่น เสือ ช้าง หมี กวาง เก้ง ท่องเที่ยวกันเป็นแดน สมัยปัจจุบันนี้เข้าใจว่า ป่าอาจจะเตียนกันไปหมด และสัตว์ป่าก็คงจะลดน้อยถอยลงจนแทบไม่เหลือหลอ
ข้าพเจ้าอยู่กับหลวงปู่ขาวเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน จึงได้กราบนมัสการลาท่านออกวิเวก เพราะเห็นว่าที่นั้นถ้าอยู่กันหลายองค์ลำบากเรื่องอาหารขบฉับ เพราะอยู่ห่างไกลหมู่บ้านมาก ไม่มีที่บิณฑบาตรข้าพเจ้าได้ลาท่านไปกับท่านอาจารย์คำบุ ธมฺมธโร ไปหาที่วิเวกต่อไป
เรามุ่งหน้าไปออกอำเภอวานรนิวาส ตั้งใจจะไปดูป่าบริเวณที่เรียกกันว่าดงหม้อทอง ตำบลบ้านม่วง ซึ่งได้ข่าวว่ายังเป็นบริเวณที่มีสภาพเป็นป่าอย่างอุดมสมบูรณ์ มีแมกไม้สูงใหญ่ มีสัตว์ป่านานาชนิด มีถ้ำมีพลาญหินเหมาะเป็นที่ภาวนา
เมื่อไปถึงชายดงหม้อทองแล้ว ก็พากันไปอาศัยหมู่บ้านแห่งบ้าน ซึ่งมีกันอยู่เพียง 3 หลังคาเรือนชาวบ้าน 3 ครอบครัวนี้ ก็เพิ่งอพยพเข้าไปอยู่ใหม่เหมือนกัน เป็นคนจังหวัดยโสธร ญาติโยม 3 หลังคาเรือนนี้ เป็นผู้มีศรัทธาดีมาก เขาช่วยกันปลูกกระต๊อบเป็นเสนาสนะให้ท่านอาจารย์คำบุ และข้าพเจ้าอยู่กันคนละหลัง
ตอนนั้นเป็นเดือนมิถุนายน เดือนเจ็ด
คืนหนึ่ง เวลาประมาณตีสาม ข้าพเจ้ายังนอนหลับอยู่อย่างสนิท ปกติโดยที่ดงหม้อทองเป็นดงหนาป่าทึบ มีสัตว์ป่าอุดม ทั้งฝูงช้าง เสือ หมี เดินท่องเที่ยวกันอย่างเป็นเจ้าของป่า เราก็มักจะสวนทางกับเจ้าสัตว์พวกนี้เป็นประจำ แต่ก็เป็นการผ่านกันแต่โดยห่าง ๆ อย่างไรก็ดีคือนั้นปรากฏว่า มีช้างใหญ่ฝูงหนึ่งออกมาหากินใกล้กับกุฏิพระมาก เสียงดังสวบสาบใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงกิ่งไม้หักระเนนระนาด ข้าพเจ้าตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงนั้น
เห็นฝูงใหญ่ตะคุ่มอยู่ แต่แล้วเจ้าตัวหัวหน้าก็ส่งเสียง คงจะสั่งบังคับบริวารให้หลีกห่างออกไปจากกุฏิพระเข้าไปในดง แต่เฉพาะตัวมันเอง....คือเจ้าตัวหัวหน้าใหญ่ แทนที่จะเดินตามบริวารเข้าไปในดงมันกลับเดินตรงเข้ามาที่หน้ากระท่อมข้าพเจ้า ช้างใหญ่ตัวนั้นมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ห่างประมาณ 6 – 7 เมตรเท่านั้น แต่ความที่มันทั้งสูงทั้งใหญ่มองดูเหมือนกับกำแพงแผ่นศิลาทึบ จึงดูเหมือนมันมายืนค้ำกระท่อมอยู่ฉะนั้น มันหยุดยืนนิ่งแล้วก็ร้องแปร๋น ๆ ส่งเสียงโกญจนาท คำรามลั่นไปทั้งป่า แล้วก็แสดงการอาละวาดมีการตีพุ่มไม้บ้าง เอาเท้าตะกุยดินบ้าง ต่าง ๆ นานา เมื่อเห็นแต่ตัว ก็แทบไม่ได้สติ กลัวอยู่แล้วยิ่งได้ยินส่งเสียงขู่คำรามในเวลากลางดึกสงัดเช่นนั้นซ้ำมาอีก ข้าพเจ้าก็ตกใจแทบสิ้นสติ ขนพองสยองเกล้าใจหด ใจหวิว ใจกลัว เหงื่อไหลไคลย้อย ตัวสั่นงันเงกเหมือนผีเข้า ลุกขึ้นจุดโคมไฟมือไม้สั่น
ไม้ขีดก็เป็นใจด้วย ดูไม่ค่อยจะติดได้เสียเลย พอจุดโคมได้ ข้าพเจ้าก็ถือออกมานอกกระท่อมทั้ง ๆ ที่มือยังสั่นระรัว เขาว่ากันว่า ช้างกลัวแสงสว่างแต่มันจะจริงหรือถ้าเผื่อมันเห็นแสงสว่าง แล้วกลับวิ่งสวนเข้ามาเล่า....?
ใจหนึ่งคิดว่า ถ้าช้างเข้ามา เราก็จะกระโดดขึ้นต้นไม้ แต่อีกใจหนึ่งก็เอ็ดว่า เอ...เธอเป็นกัมมัฏฐานจะไปกลัวช้างทำไม ช้างมันยังไม่กลัวเราเลย เธอเป็นพระธุดงค์กัมมัฏฐานเป็นผู้เสียสละในชีวิตแล้วไม่ใช่หรือจึงออกธุดงค์กัมมัฏฐาน ช้างไม่กลัวเราแล้วเราจะไปกลัวช้างทำไม เราเป็นมนุษย์เป็นสัตว์อันประเสริฐ แล้วยังเป็นพระที่ถือกันว่าเป็นเพศอันสูงสุด ช้างมันเป็นสัตว์ช้างยังไม่กลัวเราเลยเราจะชั่วกว่าช้างอีกหรือ แล้วก็คิดถึงคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ภิกษุที่เกิด ความกลัว ไปอยู่ป่าก็ดี เรือนว่างก็ดี ป่าช้าก็ดี ป่าชัฏก็ดีเมื่อเกิดความกลัว ขนพองสยองเกล้า พวกท่านทั้งหลายพึงระลึกถึงเรา คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อระลึกถึงเราอย่างนี้ ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอย่างนี้ ความกลัวขนพองสยองเกล้าก็จักหายไป.....พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้อย่างนี้ เธอลืมหรือยัง
พอข้าพเจ้านึกเตือนสติตัวเอง ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณแล้ว ความกลัวนั้นก็พลันหายไป ข้าพเจ้าก็กลับเข้ามานั่งในกลด กลับมากำหนดพิจารณาถึงความตายว่า กลัวก็ตาย ไม่กลัวก็ตาย ผู้กลัวมันตาย ผู้ไม่กลัวมันไม่ตาย พิจารณาไปอย่างนี้ อยู่ที่ไหนมันก็ต้องตาย ความตายไม่มีใครหลีกเว้นผ่านพ้นไปได้ ไม่ว่าจะตายด้วยประการใดก็แล้วแต่ ท่านจงปลงเสียซึ่งความตาย อย่าไปหวังชีวิตเลย
เมื่อกำหนดพิจารณาความตายอย่างนั้นแล้ว จิตก็ค่อยคลายกลัวลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็หายไปหมดไม่มีความกลัวตายเหลืออยู่ในจิตเลย ช้างก็ไม่กลัวตายก็ไม่กลัว จิตค่อยสงบเยือกเย็น เป็นจิตที่สิ้นกลัว มีแต่ความอาจหาญ เริงร่า กล้าผจญกับความตาย เป็นจิตที่กล้าหาญไม่สะทกสะท้าน สงบเย็น กลับนึกถึงช้างที่มาเป็นครูให้เรารู้จักสู้กับความกลัว กล้าพิจารณาความตาย มันคงยังยืนสงบนิ่งอยู่ข้างนอกกระมัง ใจระลึกถึงมันด้วยความรัก สงสาร
ข้าพเจ้าเพ่งจิตที่สงบเย็นนั้นแหละ ไปดูช้างบ้างเห็นช้าง เห็นช้างยืนอยู่ที่เดิม กระแสจิตที่สงบ ขณะนั้นคงจะรุนแรงมาก ช้างจึงตกใจร้องแปร๋นก้องไปทั้งป่าเหมือนคนตีมัน ฆ่ามัน แล้ววิ่งหนีเตลิดเข้าป่าไป รุ่งเช้ายังเห็นต้นไม้หักราบเป็นทางไป ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่เห็นฝูงช้างหรือช้างตัวใด เข้ามาที่หมู่บ้านนั้นอีกเลย
เมื่อเวลาใกล้จะเข้าพรรษา ท่านอาจารย์คำบุ ธมฺมธโร ก็ลาข้าพเจ้ากลับคืนไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย คงเหลือข้าพเจ้าอยู่ที่ดอนกระพุง ชายป่าดงหม้อทอง ต่อไปตามลำพัง