พรรษาที่ 3 พ.ศ. 2488
วัดบ้านนาจิก ดอนเมือง ตำบลหนองปลิง
ในปี 2488 ข้าพเจ้าได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดบ้านนาจิก ดอนเมือง ตำบลหนองปลิง อำเภออำนาจเจริญ อันเป็นวัดที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ท่านพระอาจารย์บุเจ้าคณะอำเภอ ก็สนับสนุน ด้วยเป็นบ้านเดิมของท่านพรรษานี้ข้าพเจ้าได้อธิษฐานทำความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยว คือจะฉันเจ จะไม่หลับไม่นอน และจะตั้งอกตั้งใจทำความพากความเพียรตลอดพรรษา ในระยะนั้น ยังใช้คำบริกรรม “ พุทโธ “ เป็นพื้น แต่ก็มีการพิจารณาร่วมไปด้วย
เมื่อทำไป อดนอนไป พอถึงกลางพรรษา ได้เกิดอาการวิปริตทางธาตุ คือ ธาตุขันธ์ไม่อำนวย มีน้ำมันสมองไหลออกมาจากทางจมูก เป็นน้ำสีเหลืองไดเอาฝ่ามือรองดูปรากฏเป็นสีเหลือง มันย้อยหยดลงมาจากมันสมองมาตามช่องจมูก เหม็นคาวจัด เป็นอยู่เช่นนี้มานานวัน จึงได้กราบเรียนท่านอาจารย์ผู้เป็นเจ้าอาวาสให้ทราบ ท่านเลยมาสังเกตดู ได้เห็นตาของข้าพเจ้าเหลืองไปหมด เหมือนตานกเค้าหรือตานกเหยี่ยว ท่านพระอาจารย์เห็นอาการวิปริตผิดปกติเช่นนั้นก็เลยอ้อนวอนขอร้องให้ข้าพเจ้าหลับนอนพักผ่อนเสียบ้างมิให้อดนอนไปตลอดระยะแรกข้าพเจ้ายังไม่ยอมทำตามคำแนะนำของท่าน ยังคงอดนอนอยู่อย่างเดิม
การอธิษฐานไม่นอนนี้ นอกจากจะไม่ยอมให้พลังลงแตะพื้นแล้ว จิตต้องมีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตกภวังค์หลับแม้แต่ขณะจิตเดียว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถ เดิน ยืน หรือ นั่ง
ต่อมาตาได้เหลืองมากขึ้น ท่านเลยมาบังคับขู่เข็ญคำราญให้นอนพัก บอกว่า “ ถ้าไม่หลับ ไม่นอนไม่ได้นะท่านจวนทำแบบนี้ใช้ไม่ได้ เดี๋ยวตาบอด ตาเสียนี่ “ ข้าพเจ้าถูกบังคับก็เลยต้องยอมหลับบ้างเล็กน้อย แต่ยังไม่เลิกละคงทำความเพียรอยู่ แต่ก็มีการพักผ่อนหลับนอนปนกันไป
ในพรรษาที่ 3 นี้ได้เกิดปฏิพัทธ์รักใคร่หญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเคยเอาจังหันมาถวายบ่อย ๆ มีความรัก ความกำหนัด แต่ก็ยังทำความเพียรไปตลอดไม่หยุดหย่อน ไม่ได้ปริปากบอกให้ใครทราบ รักอยู่แต่ในใจ ต่อมาจึงคิดอุบายขึ้นมาได้ โดยตั้งอธิษฐานถึงท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเถระ เพราะสมัยนั้นข้าพเจ้าได้ยินแต่ชื่อท่าน แต่ยังไม่เคยพบ กราบไหว้ท่านเลย ตั้งอธิษฐานว่า “ ถ้าข้าพเจ้ายังมีบุญวาสนาเจริญอยู่ในเพศพรหมจรรย์แล้ว ถ้าข้าพเจ้าจะได้บรรลุในคุณธรรม ขอให้ได้มีนิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ให้ได้ไปกราบไหว้ท่าน หรือสนทนากับท่าน ได้ฟังธรรมเทศนาของท่านให้ได้เป็นที่พอใจ แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่มีบุญวาสนาแล้วขออย่าได้บรรลุหรืออย่าได้นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่นเลย ให้เห็นนิมิตแต่สิ่งที่ลามก น่ารังเกียจ ซึ่งไม่เป็นที่น่าปรารถนาเถิด “
พออธิษฐานแล้วก็ทำความพากเพียรไประยะห่าง 3 วันเท่านั้นจากวันอธิษฐาน ขณะที่พักผ่อนก็เลยนิมิตว่า ข้าพเจ้าได้เดินทางไปสู่สำนักท่านพระอาจารย์มั่น เข้าไปสู่วัดของท่านพอดีเห็นท่านอยู่ที่กลางลานวัด ในนิมิตนั้นพอเห็นท่านเข้า ก็รู้ขึ้นมาในใจทันทีว่า นี่คือท่านพระอาจารย์มั่น รู้สึกผูกพันคุ้นเคย ๆ คล้าย ๆ กับเคยอยู่ร่วมกับท่านมาช้านานแล้ว โอ....นี่ท่านเหมือนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา พอท่านเหลือบตามาเห็นข้าพเจ้า ท่านก็ทักอย่างดีใจว่า “ อ้อ......ท่านจวนมาแล้ว ท่านจวนมาแล้ว ..... ท่านจวนมาแล้วอย่างนี้ คล้าย ๆ กับพ่อเห็นลูก ลูกเห็นพ่อ ท่านกำลังกวาดลาดวัดอยู่ ข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปจะกราบนมัสการท่าน พอไปถึง ท่านก็โก่งหลังเลย บอกว่า “ เอ้า..ท่านจวน มาขึ้น เร็ว... รีบ ๆ มาขึ้น ขึ้นหลังนี่ “
ข้าพเจ้าตกใจ ละล้าละลัง ท่านก็คะยั้นคะยอ “ เร็ว เร็ว ๆ ซี ขี่ซี “
บอกท่านว่า “ โอ๊ย...ผมยั่น บาปครับ กลัวบาป ครับ “
ปฏิเสธอย่างไรท่านก็ไม่ยอมฟัง “ เอ๊า มา บอกให้มาขี่หลัง ขี่ ซี “ ท่านทั้งเอ็ด ทั้งบังคับ พร้อมทั้งโก่งตัวรอ ข้าพเจ้าก็ จำเป็นต้องขึ้นขี่หลังท่านตามที่ท่านสั่ง
ปรากฏในความฝันว่า เมื่อขึ้นขี่แล้ว ท่านก็พาเหาะไปในอากาศ พาเหาะขึ้นไปสูงจนลิบเมฆเลยแล้วพาลงมาที่กลางภูเขาลูกหนึ่ง แล้วก็บอกว่า “ เอาละลงนี่แหละ พอดีพอควรแล้ว “
ข้าพเจ้าตื่นจากนิมิต มาพิจารณาดู ก็เกิดปิติยินดีการได้นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่น ครั้งนี้นับเป็นมงคลอันสูงสุด เป็นการได้เห็นตามคำอธิษฐานขอของเราคงแสดงว่าเรายังพอมีวาสนาบารมีอยู่ ในพรหมจรรย์ต่อไป จึงกำหนดเร่งทำความเพียรพิจารณาอสุภะต่อไป ในที่สุดความรักใคร่หญิงสาวผู้นั้นก็จืดจางหายไป
เมื่อออกพรรษาได้ 5 วัน ท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร ( มหาเส็ง ปุสฺโส ) ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะภาคมาตรวจการคณะสงฆ์ภาคอีสาน ได้แวะมาเยี่ยมตรวจดูที่วัดป่าบ้านนาจิก ดอนเมือง มาพบข้าพเจ้าก็เลยบอกว่า จะมารับข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยพระอาจารย์มั่นนัยว่า ท่านพระครูทัศนวิสุทธิ ( มหาดุสิต เทวิโร ) อุปัชฌาย์ของข้าพเจ้า ได้บอกฝากข้าพเจ้าไว้กับท่านเจ้าคุณอริยคุณาธาร มานานแล้ว ว่าใคร่ขอฝากท่านจวนไปอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นด้วย พอได้โอกาส ที่ท่านผู้ช่วยเจ้าคณะภาคออกมาตรวจงาน ท่านระลึกถึงคำฝากนั้นได้ดีอยู่ จึงเลยเอารถมารับข้าพเจ้าด้วย
นับว่าเป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนักที่ได้มีโอกาสตามท่านเจ้าคุณอริยคุณาธารไปอยู่ด้วยท่านอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่เราเคยได้ยินแต่ชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว และเพิ่งได้โอกาสกราบท่านมาหยก ๆ ในนิมิต ได้เกิดอุบายมีกำลังใจจนสามารถฆ่ากิเลสมารให้ดับไปได้
เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้กราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นจริง ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตในครั้งนี้ ปรากฏว่าเมื่อได้เห็นตัวจริงของท่าน ดูลักษณะ กริยาต่าง ๆ รูปร่างหน้าตาของท่านก็เหมือนกับที่เห็นในนิมิตระหว่างพรรษานั้น ไม่มีผิดแปลกเลย
พอเห็นหน้าข้าพเจ้า ท่านก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี “ เออ...มาแล้วรึ ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณอริยะ มาจากไหน “
“ จากอุบลครับผม “
“ อำเภอไหน “
“ อำเภออำนาจเจริญครับผม “ ข้าพเจ้าตอบ
“ อ้าว...อยู่ทางเดียวกัน “
ท่านว่าอย่างเมตตา และเมื่อเห็นข้าพเจ้ามีผิวขาวนัก ท่านก็ทักว่าคงเป็นลูกจีน ความจริงการที่ข้าพเจ้ามีผิวขาวนี้ทำให้หมู่พวกต่างพากันคิดทั้งนั้นว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาว คงเป็นลูกจีนแน่นอน ข้าพเจ้าต้องอธิบายว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ลูกจีน ข้าพเจ้าเป็นลูกชาวนา และเป็นลูกชาวอุบลเต็มตัว

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต