ReadyPlanet.com
dot dot
dot
พรรษาที่ 27 ถึง 38 พ.ศ. 2512 ถึง 2523 จำพรรษาที่ภูทอก วัดเจติยาคิรีวิหาร อำเภอบึงกาฬ article

พรรษาที่  27 ถึง 38   พ.ศ.  2512 ถึง 2523
จำพรรษาที่ภูทอก  วัดเจติยาคิรีวิหาร
อำเภอบึงกาฬ



    ปีแรกที่จำพรรษาที่ภูทอกนี้  มีพระ  3  องค์ผ้าขาวน้อย  1  องค์  ปลูกกระต๊อบชั่วคราวพออาศัยได้  4  หลัง  ทุกองค์ต่างพากันบำเพ็ญความเพียรอย่างเต็มที่เวลาพลบค่ำ  ข้าพเจ้าก็ปีนขึ้นบนเขาเอาผ้ามัดเอวแล้วก็ปีนขึ้นตามเครือเขาเถาวัลย์  ตามรากไม้  ขึ้นไปนอนอยู่บนชั้นที่ 5  ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นถ้ำวิหารพระสมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ  มีต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่นเป็นถ้ำที่อาศัยของสัตว์ป่ามีเลียงผา  เป็นต้น
    

      ในระหว่างกลางพรรษาที่  27  ได้พาญาติโยมทำบันไดขึ้นเขาชั้นที่  5  และชั้นที่  6  จนสำเร็จทำอยู่ประมาณ  2  เดือนกับ  10  วัน  จึงเสร็จเรียบร้อยทำให้ไม่ต้องอาศัยรากไม้เถาวัลย์อีกต่อไป  การสร้างบันไดนี้สำเร็จในกลางพรรษา  อาศัยศรัทธาญาติโยมและชาวบ้านใกล้เคียงช่วยกันคนละเล็กละน้อย  ช่วยกำลังแรงส่วนกำลังทรัพย์ไม่มี  เพราะเขาเป็นคนยากคนจนเป็นคนชนบทไม่มีรายได้มีแต่กำลังศรัทธาความเชื่อถือในบุญกุศล  ศรัทธาอยู่ในใจของเขา  ทุกข์ยากอย่างไรเขาก็อุตส่าห์มาช่วยการงานของวัดอยู่ตลอดพรรษาด้วยน้ำพักน้ำแรงดังนี้  มาอยู่ภูทอกปีแรกถ้าไม่อดทนจริง ๆ ก็อยู่ไม่ได้  อดอยากข้าวปลาอาหารพระเณรเจ็บป่วย  เป็นไข้ป่า  ไม่มียาจะฉัน  นับว่าละบากมากทีเดียว  
    

      กลางพรรษาปี  2512  ที่จำพรรษาอยู่ที่วัดเจติยาคีรีวิหาร  ภูทอก  นี้ ข้าพเจ้าได้เกิดสุบินนิมิตว่า  ข้าพเจ้าได้ไปบิณฑบาตรที่ภูทอกใหญ่  ตามหน้าผา  ข้าพเจ้าได้ครองผ้าห่มผ้าเป็นปริมณฑล  แล้วก็สะพายบาตรอุ้มบาตร  เดินเลียบไปตามหน้าผาอ้อมไปเรื่อยๆ เห็นแต่บานหน้าต่างปิดอยู่ตามหน้าผา  มองไม่เห็นคนเลย  ข้าพเจ้าเดินอ้อมไปอ้อมไป  เลยไปหยุดยืนรำพึงอยู่  เอ....ทำไมมีแต่หน้าต่างปิด  ไม่เห็นคนออกมาใส่บาตรเลย 

      รำพึงอยู่อึดใจหนึ่ง  ก็เห็นคนเปิดหน้าต่างออกมาใส่บาตรข้าพเจ้า  ดูเหมือนเขาจะเข้าใจได้ถึงความคิดของข้าพเจ้าที่ตั้งวิตกถามขึ้นว่า  เขาเป็นใคร  เขาก็ประกาศขึ้นมาเองว่า 

      " พวกผมนี้เป็นพวกบังบดขอรับ  อยู่กันที่ภูทอกใหญ่ภูแจ่มจำรัส "

      พวกบังบด คือ พวกภุมมเทวดา  ที่เขามีศีลห้าเป็นประจำ “ ชื่อเดิมหรือชื่อจริงของภูทอกใหญ่นี้  เรียกกันว่า  ภูแจ่มจำรัส  เขาอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง  แต่ก่อนนี้มีพวกฤาษีชีไพรมาบำเพ็ญพรตภาวนากันที่ภูเขาแจ่มจำรัสนี้มาก "

        ข้าพเจ้ารอเขาใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว  ก็ถามเขาเป็นเชิงคุยว่า   " ทำไมจึงรู้ว่าอาตมามาบิณฑบาต "

        เขาตอบยิ้ม ๆ ทันที 

        " รู้ชี จะไม่รู้ได้อย่างไร "

        " ปิดหน้าต่างอยู่อย่างนี้  รู้ได้รึ  "

        " รู้ครับ "  เขาว่า 

      รู้ด้วยอะไรเขาบอกว่า  " รู้ด้วยกลิ่น  ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า "

         " กลิ่นเป็นอย่างไร "  ข้าพเจ้าซัก 

         " กลิ่นหอมขอรับ  ถูกกลิ่นพระผู้เป็นเจ้า  ก็เลยพากันเปิดหน้าต่างมาใส่บาตรพระผู้เป็นเจ้ากัน "   เขาชี้แจงให้ข้าพเจ้าฟังด้วยสีหน้าอันเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาแล้วก็กล่าวต่อไปอีก  อันนี้จะเป็นเชิงสรรเสริญหรืออะไรก็ไม่ทราบ  ...เขาบอกว่า  พระพวกนี้เป็นพระที่ปฏิบัติดีสมควร  พวกเราจึงพร้อมใจกันมาใส่บาตร 

      พอพวกเขาใส่บาตรข้าพเจ้าก็กลับ  พอดีรู้สึกตัวตื่นขึ้น  พิจารณาดูนิมิตนั้นเห็นแปลก  ก็เล่าให้หมู่เพื่อนฝูงฟังประหลาดที่ว่าเช้าวันนั้นอาหารที่บิณฑบาตได้  ขบฉันรู้สึกว่ารสเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้มีใครอื่นมาใส่บาตรจริง ๆ มีแต่ชาวบ้านเท่านั้น  อาหารก็เป็นอาหารพื้น ๆ เป็นปลาร้า  น้ำพริกอะไรพวกนั้นตามปกติของเขา แต่เมื่อฉันไปกลับเอร็ดอร่อยราวกับอาหารทิพย์  ทั้ง ๆ ที่อาหารอันวิจิตรพิสดารที่เขาถวายนั้นอยู่ในความฝันต่างหาก 

      ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้มีหูทิพย์  ตาทิพย์อะไร  ฝันเฉย ๆ ก็มาเล่าสู่กันฟัง  จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเล่าไปตามที่เกินฝันขึ้น  เรียกว่า  ฝันในนิมิต  หรือนิมิตในฝันก็ได้ข้าพเจ้าก็ไม่ยึดถือว่าเป็นอะไรหรอก  เป็นธรรมดาคนเรานอนก็ฝันเท่านั้นเอง  ไม่ฝันอย่างหนึ่ง  ก็ฝันอีกอย่างหนึ่ง  จะจริงไม่จริงก็ยกไว้
    

      พรรษาแรก  พระเณรเจ็บไข้กันมาก  บางองค์ก็บอกว่า  เทวดาประจำภูเขามาหลอกหลอน  ดึงขาเรียกปลุกดึง ๆ ให้ลุกขึ้นทำความเพียร  บางทีก็ไล่ให้หนีเพราะมาแย่งวิมานของเขา  ข้าพเจ้าก็ได้นิมิตบางประการเหมือนกัน จึงพยายามตักเตือนพระเณรให้มีศีลบริสุทธิ์   และบำเพ็ญภาวนาแผ่เมตตาให้ทำความเพียรอย่าได้ประมาท  เพราะศีล  สมาธิ  ภาวนานั้นเป็นเกราะกำบังของผู้บำเพ็ญพรต  ภายหลังก็เกิดนิมิต  มีพวกเทวดามาหาข้าพเจ้าและบอกว่า  “  ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายภูเขาลูกนี้  ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า  ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดรับไว้รักษา  พวกข้าพเจ้าจะลงไปอยู่ข้างล่าง  
    

      ในนิมิตนั้น  เขาได้ขอคำมั่นสัญญาไว้อีกว่า  เมื่อพวกเขาลงไปอยู่ชั้นล่างแล้ว  ขอให้ข้าพเจ้าบอกประกาศแก่มนุษย์ที่จะมาเที่ยวภูเขาลูกนี้ต่อไปว่า  ขออย่า  ได้กล่าวคำหยาบ  อย่าส่งเสียงอึกทึก  อย่าถ่มน้ำสายลงไปข้างล่าง  อย่าขว้างปาหรือทิ้งเศษขยะไว้  ข้างบนเขา  อย่าฆ่าสัตว์...เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว  

      ข้าพเจ้าตื่นจากฝันแล้วก็นั่งพิจารณาอยู่  ก็รู้สึกว่าคำขอของพวกเทวดานั้นแยบคายดี  จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม  แต่ก็น่าจะเป็นข้อที่กัลยาณชนทุกคนควรจะปฏิบัติอยู่แล้ว  ถึงแม้จะไม่มีเทวดามาขอร้องเลย มนุษย์ผู้เป็นผู้ดีมีมรรยาทของสังคมชาวโลกก็น่าจะปฏิบัติตาม 

      อย่างไรก็ดี  วันนั้นเองระหว่างที่ข้าพเจ้ายังมิได้ปริปากเล่าอะไรให้ใครฟัง  พวกชาวบ้านก็มาเล่าให้ฟังว่าพวกเขาต่างฝันกันว่ามีเทวดามาบอกว่า  จะมอบภูเขาให้ท่านอาจารย์จวนรักษา  พวกเขาจะลงไปอยู่ข้างล่างแทน 

      แปลกเหมือนกัน  ที่บังเอิญหลายคนมาฝันตรงกัน

      ตกฤดูแล้ง  พ.ศ.  2513  ได้ชักชวนชาวบ้านช่วยกันสร้างทำนบเพิ่มขึ้นอีก  2  ทำนบเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้เป็น  3  ตอน  มีประชาชนจากฝั่งประเทศลาวชื่อนายบุญที  อยู่ที่เวียงจันทน์  ได้มีศรัทธามาสร้างพระประธานไว้ที่ถ้ำวิหารพระชั้นที่  5  มูลค่าประมาณ  1  หมื่นบาท  ต่อมาได้มีศรัทธาจากที่ต่าง  ๆ  ทยอยกันมาร่วมกันสร้างโรงฉันและศาลาชั้นที่  5  มูลค่า  ประมาณ  1  หมื่นบาท  พอเป็นที่ได้อาศัยคุ้มแดดคุ้มฝน  ส่วนศาลานั้นพอได้อาศัยฉันจังหันที่ศาลาข้างล่าง 

      เมื่อภายหลังมีศรัทธาเพิ่มขึ้น  เช่น  จากบึงกาฬหนองคาย  อุดร  สกลนคร  นครพนม  ขอนแก่น  นครราชสีมา  ตลอดจนกรุงเทพมหานครและอุบลราชธานีจึงได้ขยายศาลาโรงฉันข้างล่างให้กว้างออกไป  และได้ขยายศาลาถ้ำวิหารพระชั้นที่ 5 ให้กว้างขวางออกไปด้วย  เพื่อเวลาประกอบศาสนกิจและสังฆกรรมจะได้ปฏิบัติได้โดยสะดวก 

      การสร้างศาลาโรงฉัน  ศาลาชั้นบนและกุฏิที่อยู่ของพระนั้น  ข้าพเจ้าได้พยายามทำแบบที่ให้ส่งเสริมธรรมชาติให้กลมกลืนกันไปกับธรรมชาติ  เช่น  บางแห่งก็บูรณะถ้ำธรรมชาติ  ให้เป็นที่อยู่อาศัย  บางแห่งก็ใช้หลังคาสังกะสีต่อเชื่อมกับหินปากถ้ำ  อาศัยผนังถ้ำส่วนหนึ่งเป็นฝาเป็นต้น  นอกจากนั้นได้สร้างศาลา  โรงครัวและกุฏิแม่ชี  เพิ่มขึ้น 

      ปัญหาเรื่องน้ำใช้บนยอดเขาเป็นสิ่งสำคัญ  ข้าพเจ้าได้พยายามขุดบ่อน้ำหลายแห่ง  บังเอิญได้พบบ่อน้ำซึมผุดขึ้นมาจากซอกหิน  เป็นตาน้ำขนาดแรง  คุณหมอขันธ์  เทศประสิทธิ  และคุณหมอประพักตร์  โสฬสจินดา  ได้ร่วมกันสร้างบาตรน้ำมนตร์ขนาดใหญ่ไว้รองน้ำซึมที่หยดมาจากยอดเขา  คุณมานพ  สุภาพันธ์  คุณประชา  ตันศิริได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพตั้งถังเก็บน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก  ติดเครื่องสูบน้ำขึ้นที่หลังเขา  เป็นถังแรก  ในขณะเดียวกัน  ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย  เกตุสิงห์  ได้บริจาคเงิน  2,000  บาท  สร้างส้วม  และห้องน้ำไว้สำหรับประชาชน 

      ในพ.ศ.2513 – 2514  ได้ทำสะพานรอบเขาชั้นที่ 5 พ.ศ.  2515  ไม่ได้ทำสะพาน  แต่ไม่ได้ทำทำนบกั้นน้ำเพิ่มขึ้นอีก  พ.ศ.  2516  รื้อสะพานชั้นที่  5  ออกเพราะครั้งก่อนทำไว้ไม่เสมอกัน  มีสูงมีต่ำกว่ากัน  รื้อออกทำทางเดินให้เสมอกัน  และขยายให้กว้างขึ้นทำให้แน่นหนากว่าเดิม  เพิ่มไม้ขึ้นอีก  3  ส่วน  ซ่อมแซมสะพานของเก่าใช้เวลาทำอยู่  3  เดือนจึงแล้วเสร็จสิ้นเงินประมาณ  3  หมื่นบาท
    

       พ.ศ.  2517  มีพระจำพรรษา  5  องค์  เณร  5 องค์  ได้พาหมู่คณะทำสะพานบนชั้นที่  6  ทำอยู่  3  เดือน  ก็แล้วเสร็จสิ้นเงิน  35,000  บาท
    

      ในปีนี้ ได้ทำสะพานชั้นที่  4  แต่ไม่ได้ทำรอบเขาทำไว้ครึ่งเขา  เฉพาะทางด้านทิศตะวันตกส่วนสะพานชั้นที่  4  ทางด้านทิศตะวันออกนั้นได้จ้างชาวบ้านทำในปี  2520  สิ้นเงินประมาณ 20,000  บาททำอยู่  2  เดือนจึงแล้วเสร็จ  ทำต่อลงมาจากชั้นที่  5  ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
    

      พ.ศ.  2519  ได้ทำทำนบกั้นน้ำในเขตวัด  โดยจ้างแทรคเตอร์ชาวบ้านมาทำสิ้นเงิน  16,000  บาท   

      จากปี 2519 เป็นต้นไป  ศรัทธาญาติโยมก็ได้ทยอยกันมามากขึ้น  โดยเฉพาะจากกรุงเทพมหานคร   จะมากันบ่อยครั้งขึ้น  จำนวนมากขึ้นศรัทธาเพิ่มขึ้น  บริจาคทรัพย์สมบัติ  บริจาคกำลังทรัพย์  กำลังแรง  ช่วยเหลือเจือจุนกันไป  การงานก็ได้สำเร็จลุล่วงมาดังที่พวกเราได้เห็นกันนั้นมีศรัทธาจากลาดพร้าวกรุงเทพ ฯ  ขอสร้างถังน้ำบนเขาชั้นที่  5  อีกหลายถัง  เพื่อให้พระเณรได้มีน้ำดื่มใช้ตลอดปี  และได้ขอสร้างห้องน้ำ ห้องส้วมบนเขาชั้นที่  5  เพิ่มขึ้นอีก  2  คราวรวม  5  ห้อง  ด้วยเห็นความลำบากของญาติโยมที่จะขึ้นไปค้างฟังธรรมบนถ้ำวิหารพระชั้นที่  5 

      สำหรับกุฏิถาวรบนเขาซึ่งแต่เดิมไม่มี  เพราะพระเณรจะใช้แต่เงื้อมถ้ำเป็นที่พัก  หรือใช้ไม้ตีกำบังกั้นชั่วคราวนั้น  ก็ได้มีศรัทธาขอสร้างให้เป็นการถาวร  โดยข้าพเจ้าออกแบบให้มีระเบียงสามด้านเป็นทางจงกรมพร้อม คุณแม่แฉล้ม  ชาญสงคราม  ชาลีจันทร์  มารดาคุณสุรีพันธุ์  มณีวัต  ก็ได้บริจาคเงินสร้างกุฏิสงฆ์อาพาธพร้อมห้องน้ำบนเขาชั้นที่  2  เป็นหลังแรก  พร้อมกันนั้นลูกสาวและสามีคือคุณวิลาศ  มณีวัต ก็ได้บริจาคสร้างอีกหลังหนึ่ง  ณ  เขาชั้นที่  2  ณ  จุดที่เคยเป็นกุฏิชั่วคราวที่ข้าพเจ้าแรกมาพักเมื่อปี  2512  ต่อมาคุณบุญยิ่ง  ลืออำรุง  ได้บริจาคสร้างอีกหลังหนึ่งบนพลาญหินชั้นที่  2  และคุณพรรณี เกตุมณี  ได้บริจาคอีก  100,000  บาท  เพื่อสร้างกุฏิให้เป็นที่พักของข้าพเจ้าโดยจัดสร้างต่อขยายออกไปจากศาลาถ้ำวิหารพระเป็นที่พัก   2  ชั้น 

      วัดได้จัดสร้างกุฏิที่พักสำหรับพระอาคันตุกะ  บนเขาชั้นที่  5  เป็นเรือนยาวขนาดสองห้อง  สร้างกุฏิแม่ชีเพิ่มเติมอีก  เพราะระยะหลังได้มีศรัทธาญาติโยมมาค้างที่วัด  บางขณะ  บางคืน  ถึงสามร้อยคนก็มี  ถึงสี่ร้อยคนก็มี  วัดต้องอาศัยแม่ชีช่วยจัดอาหารเลี้ยงศรัทธาทั้งหลาย  จึงต้องขยับขยายให้แม่ชีได้มีที่พักพอเหมาะพอควรกว้างขวางขึ้น  และเมื่อต่อมาวัดได้เริ่มสร้างกุฏิพระเพิ่มบนโขดหินเขาชั้นที่  2  อีก  2   หลัง  ศิษย์ที่บ้านทรงไทยลาดพร้าวซึ่งมีคุณสุรีพันธุ์เป็นหัวหน้าก็ขอเป็นเจ้าภาพร่วมกับวัดด้วย
    

      ในปี  2522  เมื่อมีผ้าป่ามาพ้องกันหลายคณะ  ศาลาที่พักบนเขาดูแคบไปถนัดใจ  ศรัทธาจากกรุงเทพฯคือคุณสุรีพันธุ์  มณีวัต  จึงถวายปัจจัยให้สร้างกุฏิที่พักบนชะง่อนเขา  ชั้นที่  5  อีก  1  หลังเป็นที่โล่งโปร่งสบายใครมาเห็นมาพักก็ล้วนชอบใจ  เพราะได้ตากอากาศดี 

      เมื่อได้บำรุงสิ่งก่อสร้างในวัดให้เห็นประโยชน์แล้ว  ก็ได้ช่วยทำประโยชน์ให้แก่ชาวบ้านละแวกใกล้วัดด้วย  ตั้งแต่ปี  2521 – 2522 – 2523  ได้สร้างทำนบกั้นน้ำให้ชาวบ้าน  6  ทำนบ  เพื่อในการเพาะปลูกทำไร่นา  ทำนบละหมื่นก็มี  2  หมื่นก็มี  3  หมื่นก็มี  5  หมื่นก็มี  ทำถนนเป็นทำนบฝายกั้นน้ำระหว่างภูทอกน้อยและภูแจ่มจำรัสอีกร่วม  2  แสน  ทั้งหมดสิ้นเงินวัดไป  4  แสน  5  แสนแล้ว  เฉพาะทำนบใหญ่กั้นเก็บน้ำระหว่างภูทอกน้อยและภูแจ่มจำรัสนั้น  กรมชลประทานของรัฐบาล  เขามาช่วยรับช่วงเอาไปปรับปรุงเสริมสร้างค้นทำนบให้สูงขึ้นและมั่นคงขึ้น  รัฐบาลให้งบประมาณมา  2  ล้านบาท  เดี๋ยวนี้ทำเสร็จแล้ว  เก็บน้ำได้มาก  เก็บน้ำได้ลึกถึง  10  กว่าเมตร  สามมารถจะใช้ประโยชน์ในการเพาะพันธุ์ปลา  และระบายน้ำให้พวกชาวไร่ชาวนาอย่างสะดวกสบายทีเดียว
    

      พ.ศ.  2523  จะเริ่มทำถนนรอบภูเขา  3  ลูก  คือ  ภูทอกน้อย  ภูทอกใหญ่หรือภูแจ่มจำรัสและภูสิงห์น้อยซึ่งต่างเป็นสำนักสงฆ์ของวัด  ข้าพเจ้าได้ให้เกรดทางรอบเขตวัดไว้แล้ว  ถ้าไม่ทำ  ชาวบ้านบุกรุกเข้ามาถึงเชิงเขาก็จะลำบาก  ตัดไม้  เผาไม้  ฆ่าสัตว์  สัตว์อยู่ในเขาก็ยังมีอีกมาก  กวาง  เก้ง  เลียงผา  หมี  ลิง  สุกรป่ายังมีอีกมาก  พวกนก  พวกกระต่าย  ไก่ป่า  ก็ยังมีเช่นกันสมควรจะสงวนไว้จึงได้จ้างรถแทร็กเตอร์  มาเกรดทางรอบเขาแล้วปิดทำนบน้ำเสียด้วย  ที่ไหนเป็นห้วยก็พูนดิน  เสริมสร้างเป็นค้นทำนบเพื่อให้สัตว์ป่าได้อาศัยอาบ  อาศัยกิน  ตลอดถึงมนุษย์ก็จะได้ใช้สอยทำไร่นา  เพาะปลูกพืชผลโดยไม่อดน้ำ  ไม่ให้คนรุกล้ำเข้ามาทำกินในเขตทำนบน้ำ  ถ้ำน้ำมีเหลือเฟือก็จะได้ระบายช่วยเหลือชาวนาชาวไร่โดยไม่ติดขัด  นี่เริ่มในปี  2523  จ้างรถแทรกเตอร์มาทำงานดังนี้  ( เมื่อท่านมรณภาพแล้ว  งานนี้ยังค้างอยู่  ทางวัดก็ได้ทำจนเสร็จ  รวมทั้งสร้างทำนบน้ำแห่งใหม่ในหมู่บ้านด้วย  ....ผู้รวบรวม )
    

      เมื่อมาอยู่ครั้งแรกที่ถ้ำเชิงเขาในฤดูแล้งปี  2512  ข้าพเจ้าได้ชวนญาติโยมตัดทางจากภูทอกไปบ้านดอนเสียด  รถเดินได้สบาย  เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้เป็นเส้นทางสัญจรกันอยู่  หลังจากนั้นเมื่อญาติโยมเขาทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาอยู่ที่ภูทอก  เขาก็เลยอพยพตามมาอยู่  ทำมาหากินด้วย  เป็นปึกแผ่นแน่นหนา  จากเดิมซึ่งมีอยู่เพียง 10  หลังคาเรือน  ปัจจุบันนี้มีประมาณกว่า  200  ครอบครัวแล้ว  มาอยู่ครั้งแรกได้พาญาติโยมถากถางป่า  เพื่อระบายอากาศให้ปลอดโปร่ง  บ้านนาคำแคนนี้  ตั้งหมู่บ้านกันก่อนสร้างวัด  2  ปี  คือในปี  2510  ส่วนวัดเจติยาคิรีวิหาร ( ภูทอก ) มาสร้างในปี  2512  คนที่มาอยู่ส่วนมากเป็นคนมาจากจังหวัดกาฬสินธุ์ก็มี  ขอนแก่นก็มี  ร้อยเอ็ดก็มี  อุบลราชธานีก็มี  อุดรธานีก็มี  สกลนครก็มีเป็นคนมาจากหลายจังหวัดที่มาอยู่บ้านนาคำแคน
    

      ในสมัยก่อน  แถบภูสิงห์  ภูวัว  ภูทอก  นี้  เป็นป่าเป็นดงทึบ  มีสิงห์สาราสัตว์นานาชนิดมาก  ไม่ค่อยมีหมู่บ้าน  คนแถบนี้แต่ก่อนเป็นพวกมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศลาว  เป็นพวก  เม้ย  หรือเป็นพวก ย้อ  เข้ามาอยู่เมืองไทยสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลาว  พวกเขาไม่ชอบลัทธิการปกครองของฝรั่งเศส  จึงอพยพครอบครัวข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาอยู่ฝั่งประเทศไทย 

      ลัทธิประเพณีของพวกนี้ก็แปลก  พวกเม้ยนี้แต่ก่อนเขาเรียกว่า  “  ลาวกอด “  หรือ  “ ลาวกุม “  คำว่า “ ลาวกอด  ลาวกุม “  นี้เขาถือกันจริง ๆ คือหมายความว่าถ้าเราไปเยี่ยมเขาไปเยี่ยมบ้านเยี่ยมเรือนเขา  ถ้าเขามีลูกสาวแล้วไม่กอด ไม่กุม  ไม่จูบ  ไม่ดม ลูกสาวเขาไม่ได้  เขาว่า  ผิดผี  แต่จะทำอะไรไม่ได้  ได้แต่เพียงกอดกุมจูบดมเท่านั้น  ถ้าไม่ทำอย่างนั้น  เขาปรับไหมใส่โทษเพราะมันผิดผีเขา  เป็นประเพณีของเขาดังนั้นเมื่อเขาข้ามมาในประเทศไทยในสมัยก่อน ๆ ประเพณีนี้ก็ยังมีอยู่แต่เดี๋ยวนี้ดูหายไปแล้ว 

      พระเณรของเขานั้นก็ประหลาดเหมือนกัน   เขาถือหลักเกณฑ์อะไรก็ไม่ทราบ  เป็นแต่เพียงนุ่งห่มผ้าเหลืองแล้วก็แล้วกันไป  แค่นั้นก็ถือเป็นพระเป็นเณรแล้ว  จะกินข้าวเย็นก็ไม่ว่า  โดยมากที่สังเกตดูชอบกินฝิ่น  เวลาสงกรานต์ก็รดน้ำกันกับสีกา  กอดกัน  กุมกันเขาไม่ถืออะไร  เวลาวันพระพวกพระเณรก็พากันไปล่าเนื้อตามป่า   ไปหาปลาตามห้วย   ตามหนอง  ตามบึง  เอามาหุงหาอาหาร  จับเงินจับทอง ขุดดิน  ฟันไม้  เขาก็ไม่คำนึงถึงพระวินัยอย่างไรเลย  และญาติโยมของเขาก็ไม่ถือ  พอปีใหม่ก็ต้องมีงานเลี้ยงผีกัน  ทำกันเป็นพิธีใหญ่โตมโหฬารทีเดียว  ซึ่งข้าพเจ้าก็เคยเห็นเขาทำอยู่ 

     นี่เป็นลัทธิเดิมของเขา  เดี๋ยวนี้คงไม่มีแล้วเพราะความเจริญมันล้นไหลเข้าไปและทางคมนาคมก็ไปสะดวก
 

 

ภูทอก

   ศาลาวิหารบนเขาชั้นที่ 5 เมื่อระยะแรกขุดแต่งใหม่่ๆ พ.ศ. 2515

 

ภูทอก

   กับคณะศิษย์ ในปี พ.ศ. 2515




อัตตโนประวัติหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ

คลิปวีดีโอประวัติหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ article
ชาติกำเนิดปฐมวัย article
พบพระธุดงค์และได้หนังสือไตรสรณาคมน์ article
ออกจากโรงเรียนและรู้จักรักผู้หญิง article
แสวงธรรม article
ออกบวชเป็นพระฝ่ายธรรมยุต article
พรรษาที่ 1 พ.ศ. 2486 วัดป่าบ้านพอก หนองคอนทั้ง อำเภอเลิงนกทา article
ออกเดินธุดงค์เป็นครั้งแรก article
พรรษาที่ 2 พ.ศ. 2487 วัดทุ่ง บ้านหนองอีนิน อำเภอเลิงนกทา article
พรรษาที่ 3 พ.ศ. 2488 วัดบ้านนาจิก ดอนเมือง ตำบลหนองปลิง article
พรรษาที่ 4 พ.ศ. 2489 อยู่ด้วยท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ อำเภอพรรณานิคม article
พรรษาที่ 5และ6 พ.ศ. 2490 จำพรรษา ณ จังหวัดเชียงใหม่ article
พรรษาที่ 7 พ.ศ.2492 วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว สงเคราะห์โยมมารดา article
พรรษาที่ 8 พ.ศ.2493 จำพรรษาที่ถ้ำพวง อ.ส่องดาว สกลนคร article
เอากระดูกช้างมาเป็นยาแก้โง่ article
พรรษาที่ 9 พ.ศ. 2494 ภูสะโกฏ บ้านหนองเม็ก นามน article
พรรษา 10 พ.ศ 2495 จำพรรษาที่ดอนกระพุง ชายป่าดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส article
พรรษาที่ 11,13 พ.ศ. 2496 , 2498 จำพรรษาที่ดงหม้อทอง อำเภอวานรนิวาส article
พรรษาที่ 14 พ.ศ.2499 จำพรรษาที่ ถ้ำแก้ว ตาดปอ บ้านทุ่งทรายจก ภูวัว article
พรรษาที่ 15 ถึง 16 พ.ศ. 2500 ถึง 2501 กลับไปจำพรรษาที่ ดงหม้อทอง article
พรรษาที่ 17 พ.ศ.2502 จำพรรษาที่ถ้ำจันทน์ ดงศรีชมภู อ.โพนพิสัย article
พรรษาที่ 18 ถึง 20 พ.ศ. 2503 ถึง 2505 จำพรรษาที่ถ้ำจันทน์ ( ต่อ ) article
พรรษาที่ 21 พ.ศ.2506 จำพรรษาที่ภูสิงห์น้อย ( ภูกิ่ว ) article
พรรษาที่ 22 ถึง 25 พ.ศ.2507 ถึง 2510 จำพรรษาที่ถ้ำบูชา ตาดสะอาม ภูวัว article
พรรษาที่ 26 พ.ศ.2511 จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี article
เล่าประวัติด้วยเสียงของท่านเอง article



dot
พระมหาธาตุ,พระบรมสารีริกธาตุ
dot
bulletเรื่องของพระบรมสารีริกธาตุ
dot
พระอสีติและพระอรหันตธาตุ
dot
dot
พระธาตุบูรพาจารย์ในยุคปัจจุบัน
dot
dot
เจดีย์พระธาตุทั่วไทยและทั่วโลก
dot
dot
หมวดหมู่สินค้า บุษบก บุษบกมาลา
dot
บุษบกมาลา
bulletบุษบกน่ารู้
bulletบุษบก BBC-02 A-B
bulletบุษบก BBC-04
bulletบุษบกมาลา
bulletบุษบก ขนาด 5 นิ้ว
bulletบุษบก ขนาด 6 นิ้ว
bulletบุษบก ขนาด 10 นิ้ว
bulletบุษบก ขนาด 15 นิ้ว
bulletบุษบก ขนาด 17 นิ้ว ปิดทอง
bulletบุษบก ขนาด 17 นิ้ว พ่นทอง
bulletบุษบก ขนาด 21 นิ้ว
bulletบุษบก ขนาด 25 นิ้ว
dot
หมวดหมู่สินค้า ผอบใส่พระธาตุ
dot
bulletผอบทรงโถน้ำมนต์
bulletผอบเลนส์ขยาย
bulletผอบขนาดเล็ก
bulletผอบ PC-07
bulletผอบ PC-09
bulletผอบ PC-15
bulletผอบทรงสูง PTC-12
bulletผอบทรงสูง PTC-15
bulletผอบขนาดใหญ่ 9 นิ้ว
bulletผอบแก้วคริสตัล
dot
หมวดหมู่สินค้า เจดีย์ใส่พระธาตุ
dot
bulletเจดีย์ JC-01
bulletเจดีย์ JC-02
bulletเจดีย์ JC-03
bulletเจดีย์ JC-05
bulletเจดีย์ JC-06
bulletเจดีย์ JC-07
bulletเจดีย์ JC-09
bulletเจดีย์ JC-12
bulletเจดีย์ JC-15
bulletเจดีย์ JC-22
bulletเจดีย์คริสตัล 5 นิ้ว
bulletเจดีย์ผอบ
dot
หมวดหมู่สินค้า งานลงยาโบราณ
dot
bulletงานลงยาประดับสั่งพิเศษ
bulletเจดีย์ฐานกลมลงยา
bulletเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมเล็ก
bulletเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมใหญ่
bulletโกศบรรจุอัฐิธาตุ
bulletแก้วทรงดอกบัวตูม
bulletแว่นแก้วเล็ก
bulletฐานแปดเหลี่ยมยอดเจดีย์
bulletแปดเหลี่ยมผอบ 12 เซน.
dot
หมวดหมู่สินค้า สั่งทำพิเศษ
dot
bulletงานประดับลายไทยพิเศษ




Copyright © 2010 All Rights Reserved.

ร้าน บุษบกทองคำ
ที่อยู่ :  เลขที่ 453 หมู่ 8 ถนน พาน -ป่าแดด.ตำบล :  สันติสุข อำเภอ : พาน
จังหวัด : เชียงราย     รหัสไปรษณีย์ : 57120
เบอร์โทร มือถือ :  0634246256
อีเมล : jedeethai@gmail.com
เว็บไซต์ :www.jedeethai.com