พรรษาที่ 26 พ.ศ.2511
จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย
ที่วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี
พรรษาที่ 26 นี้ ข้าพเจ้าได้กลับมาอยู่จำพรรษาร่วมกับหลวงปู่ขาว อีกวาระหนึ่ง ตอนนี้ท่านได้จากวัดป่าแก้ว บ้านชุมพล มาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพลแล้วได้อยู่ปฏิบัติท่าน ฟังธรรมเทศนา รับการอบรมจากท่านโดยใกล้ชิด ในระหว่างกลางพรรษาได้มีการทำบุญฉลองอายุของหลวงปู่
ออกพรรษา เสร็จกิจการงานทางถ้ำกลองเพลแล้ว ข้าพเจ้าก็นมัสการลาหลวงปู่ กลับไปวิเวกที่ภูวัวอีก ด้วยได้ทราบว่า อันตรายจากผู้ก่อการร้ายเบาบางลงแล้ว
ข้าพเจ้าได้วิเวกอยู่ที่ภูวัวอยู่ที่ภูวัว 1 เดือน คืนวันหนึ่งขณะกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญความเพียรอยู่นั้น ได้เกิดนิมิตขึ้นมาว่า
ได้มีปราสาท 2 หลัง หลังหนึ่งเล็ก อีกหลังหนึ่งใหญ่โตมาก ปราสาททั้งสองหลังนี้สวยงามวิจิตรพิสดารมาก สถานที่ตั้งอยู่คือ ทางด้านเขาภูทอกน้อยและเขาภูทอกใหญ่ ซึ่งเวลามองจากเขาภูวัว บริเวณหลังถ้ำบูชาจะเห็นปรากฏชัดอยู่ทุกวัน ในนิมิตนั้นปรากฏว่า ข้าพเจ้าได้เหาะขึ้นไปบนปราสาทนั้น แต่พอขึ้นไป ๆ จะเข้าไปในปราสาทนั้น บังเอิญประตูทางเข้าปิดอยู่ ทำให้ไม่สามารถจะเข้าไปในปราสาทได้ จึงได้ตั้งอธิษฐานว่า หากบุญบารมีแรงกล้าขอให้ประตูเปิดออกเข้าไปได้ ทันใดนั้นประตูปราสาทหลังเล็กก็เปิดออก ข้าพเจ้าจึงเข้าไปในปราสาทนั้นปรากฏว่าห้องหอภายในวิจิตรพิสดารงดงามยิ่งนัก เป็นที่น่าเพลิดเพลินเจริญใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นหญิงมีรูปสวย 4 คนเฝ้าอยู่ในปราสาทนั้น และจากที่ยืนอยู่ในปราสาทหลังเล็กจะมองไปเห็นปราสาทหลังใหญ่ได้อย่างเด่นชัด หญิง 4 คนนั้น ได้นิมนต์ข้าพเจ้าให้อยู่ร่วมด้วย ข้าพเจ้าไม่ตกลง เพราะเป็นพระจะอยู่รวมผู้หญิงไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้ลงจากปราสาทนั้นไป
พอจิตถอนออกแล้ว นิมิตนั้นยังจำติดตาได้อย่างเด่นชัดพร้อมทั้งจำทางขึ้นลงได้อย่างแม่นยำ
เพื่อพิสูจน์ตามนิมิตนั้น ข้าพเจ้าเดินทางออกจากภูวัวไปยังภูทอกน้อย ซึ่งยังไม่เคยได้ขึ้นเขาลูกนี้เลยสักครั้งเดียว พอไปถึงก็ได้เดินทางขึ้นไปบนเขาตามทางในนิมิตนั้นทุกประการ ได้สำรวจดูเขาชั้นต่าง ๆ ที่เห็นเป็นโตรก เป็นซอก เป็นถ้ำ เป็นหินผา อันสูงชัน ก็เห็นว่าเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมที่จะบูรณะให้เป็นสถานที่รมณียสถานอันรื่นรมย์ ให้พระเณรได้บำเพ็ญพรตภาวนาต่อไปได้ จึงตกลงใจเข้าบูรณะและตั้งเป็นวัด ได้แรงนิมนต์ของชาวบ้านนาคำแคน บ้านนาต้อง อาราธนาให้อยู่โปรดเป็นหลักยึดเหนี่ยวแก่พวกเขาอีกแรงหนึ่งด้วย
ข้าพเจ้าเริ่มมาอยู่ที่ภูทอกนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2512 มาอยู่ครั้งแรกมากับท่านพระครูศิริธรรมวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดสามัคคีอุปถัมภ์ อำเภอบึงกาฬ ในปัจจุบัน กับผ้าขาวน้อยคนหนึ่งมาอยู่ตอนแรกอาศัยถ้ำตีนเขา ที่เป็นโรงฉันต่อโรงครัวสมัยนี้ บริเวณโดยรอบเป็นป่าทึบ รกชัฏ มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ มีช้าง มีเสือ มีหมี มีงูใหญ่เลื้อยไปมาอยู่ตามถ้ำ อากาศทึบมาก
เบื้องต้น ภูทอกยังไม่มีแอ่งเก็บน้ำเช่นที่เห็นในปัจจุบันนี้ สมัยนั้นต้องอดน้ำอาศัยน้ำฝนที่ยังคงขังค้างอยู่ตามอ่างหิน เมื่อหมดน้ำในอ่างหิน ก็ต้องพากันสะพายกระบอกไม้ไผ่ไปเอาน้ำในทุ่งนา ไกลประมาณ 2-3 กิโลเมตรทุกวัน ๆ ส่วนอาหารขบฉัน อาศัยบิณฑบาตรจากชาวบ้านนาคำแคนซึ่งอพยพไปอยู่ใหม่ ๆ ประมาณสัก 10 หลังคาเรือนการขบฉันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ขาดแคลนมากตามมีตามได้ พอรักษาอัตตภาพชีวิตไปชั่ววันหนึ่ง ๆ เท่านั้น
พอย่างเข้าหน้าแล้ง ข้าพเจ้าก็ขอให้ญาติโยมช่วยถากถางบริเวณนั้น ที่รกชัฏทึบ ให้เตียนพอที่จะให้มีอากาศเข้าไปได้บ้าง และให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างทำนบกั้นน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ ต่อไปเห็นว่าการอยู่ถ้ำจะไม่ปลอดภัย เพราะอากาศมันทึบเวลาฝนตกเลยขึ้นมาปลูกกระต๊อบอยู่ชั่วคราวที่โขดหินตีนเขาชั้น 2 เป็นไม้ทุบเปลือก พื้นปูด้วยฟาก หลังคามุงแฝก เวลาปีนขึ้นภูทอก ขึ้นตามรากไม้ ตามเถาวัลย์ทีเดียว