พรรษาที่ 2 พ.ศ. 2487
วัดทุ่ง บ้านหนองอีนิน อำเภอเลิงนกทา
พรรษาที่สองนี้ ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่ง บ้านหนองอีนิน และบ้านหนองชาติ ซึ่งมีท่านพระอาจารย์เกิ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ได้ทำความเพียรพอสมควร ระหว่างพรรษามีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้น
ซึ่งจะขอเล่าเพื่อความสมบูรณ์ของประวัติที่ผ่านมาคือ ได้เห็นหญิงคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเคยพบเห็นมาตั้งแต่สมัยข้าพเจ้ายังรุ่นหนุ่มทำราชการอยู่กรมทางหลวง เขาเป็นสาวใหญ่ อายุมากกว่าข้าพเจ้ามาก นิสัยว่ากันว่าเป็นคนเจ้าชู้ เคยเห็นเขาเดินทางไปมาระหว่างอำเภออำนาเจริญและตัวจังหวัดอุบลราชธานีบ่อย ๆ ไม่ทราบว่าเขาเป็นคนบ้านไหน เมื่อข้าพเจ้าบวชมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านหนองอีนินนี้ ก็ได้เห็นหญิงคนนี้อีก แต่ตอนนี้ร่างกายทรุดโทรม ผอมมาก ดูท่าทางแก่ไปถนัดใจ เขามาจากบ้านหนองอีนิน ถือหม้อยาเร่ร่อนมาอาศัยนอนอยู่ในลานวัด ใต้ร่มไม้ฉำฉา หญิงคนนี้เป็นคนบ้านเดียวกันกับท่านอาจารย์เจ้าวัด มาอาศัยวัดต้มยากินอยู่ไม่นาน ก็นอนตายอยู่ใต้ร่มไม้ฉำฉานั่นเอง โดยวันหนึ่งตอนเช้าญาติโยมมาถวายจังหันพระที่วัดเห็นหญิงนอนนิ่งไม่ไหวติง โยมทิดสรวงซึ่งเป็นญาติหญิงนั้นเข้าไปปลุก พอไปปลุกไปดู ถึงได้รู้ว่าหญิงคนนั้นตายเสียแล้ว นอนตายตัวแข็งอยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตร
เป็นเรื่องเอิกเกริกพูดกันไปทั้งวัด เพราะญาติโยมมาเล่าให้ฟังว่า พอไปดูศพเปิดผ้าห่มของหญิงคนนั้นออก ก็เห็นหนอนชอนไชอยู่ตามตัวหญิงคนนั้นเต็มไปหมด ศพเหม็นคลุ้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเวลาคืนเดียวเหตุใดจึงมีหนอนมาขึ้นศพมากมายเช่นนั้น โดยเฉพาะที่ทวารเบามีหนอนเจาะไชกัดกินจนเป็นรูใหญ่ หนอนบางตัวมีขนก็มี น่าสยดสยองสังเวชมาก ญาติของหญิงคนนั้น เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เขารู้ประวัติหญิงคนนี้ดี เป็นคนเจ้าชู้สำส่อน จึงเป็นโรคบุรุษหรือกามโรค ยิ่งมาตายในวัดในวาเวลาตายจึงเกิดกรรมเห็นทันตา มีหนอนขึ้นเจาะไชเช่นนั้น
คราวแรกที่เห็นศพหญิงคนนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าจะไปพิจารณาเพ่งดูใกล้ ๆ เพื่อพิจารณาซากอสุภะให้ถนัดตาอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อฟังเรื่องทั้งหมดแล้วได้เกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่ายมาก จิตใจดิ้นรนในความเบื่อหน่ายมากจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปพิจารณาโดยใกล้อีก พวกชาวบ้านแม้แต่เด็กเล็กก็ไปมุงดูกันแน่น เพื่อดูผลของกรรม เขาต้องรีบเอาไปเผาที่ป่าช้าให้หายอุจาดตา ศพนี้นับเป็นซากอสุภะที่สองที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็น
พอออกพรรษา ข้าพเจ้าได้เข้าไปปรับปรุงวัดใหม่โดยเห็นว่าวัดเก่าที่อยู่กลางทุ่งนั้นไม่เหมาะไม่ดี เลยเข้าไปปรับปรุงวัดใหม่ ที่ดอนเมือง ที่นั่นเขาเรียก ดอนเมือง ดอนเจ้าผี ดอนเจ้าปู่ตาของเรา เขาถือว่าเป็นดอนที่ศักดิ์สิทธิ์เขายำเกรงมาก ที่นั้นเป็นที่ซึ่งบริบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ เป็นดง ร่มเย็น มีสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ อย่างเก้ง ช้าง เต่า ตะกรด มาก งู ก็มากเช่นกัน เหมาะจะเป็นที่วิเวกแสวงธรรม ข้าพเจ้าก็เลยพาหมู่พวกไปธุดงค์ในที่นั้น ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นอากาศดี เลยตั้งวัดตั้งวาขึ้น ณ ที่นั้นชื่อว่า วัดบ้านนาจิก ดอนเมือง ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อไปอยู่ใหม่ พบเศียรพระพุทธรูปก็มี แขนพระพุทธรูปก็มี และได้วัตถุของโบราณ ฝังดินไว้ลึก ณ จากที่ดอนแห่งนั้นเป็นจำนวนมาก เข้าใจว่าสมัยโบราณคงจะเคยเป็นวัดเก่และร้างไปนานแล้วนับเป็นวัดแรกที่สร้างขึ้น

วัดป่าบ้านาจิก ต.หนองปลิง อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็น จ.อำนาจเจริญ) ในภาพเห็นโบสถ์ตั้งอยู่ในบริเวณอันร่มรื่น เป็นวัดแรกที่หลวงปู่ท่านสร้าง และท่านำด้อยู่จำพรรษาที่ 3 ณ.วัดนี้