พรรษาที่ 14 พ.ศ.2499
จำพรรษาที่ ถ้ำแก้ว ตาดปอ บ้านทุ่งทรายจก ภูวัว
ภูวัวเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน แผ่ยาวในทิศที่ขนานไปกับแม่น้ำโขงยาวนับเป็นสิบ ๆ กิโลเมตรติดต่อกันเป็นอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ หลายสิบตารางกิโลเมตร บนหลังเขาหลายตอนเป็นพื้นที่ราบมีบริเวณกว้าง มีโขดเขาและพลาญหินกว้างใหญ่ไพศาล มีน้ำตกและแอ่งน้ำอย่างงดงาม ตอนที่เป็นป่าดงดิบ ก็เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ เช่น เสือ ช้าง กวาง เก้ง วัวกระทิง ลิง หมี เป็นที่ซึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์แต่ก่อนเคยไปวิเวกบำเพ็ญความเพียรกันมามากแล้ว เช่น พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์อ่อน ญาณศิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ( ทองสุข สุจิตโต ) เป็นอาทิ ต่างล้วนแต่เคยขึ้นไปธุดงค์บำเพ็ญภาวนาบนภูวัวกันมาแล้วทั้งสิ้น
ในพรรษาที่ 14 นี้ ข้าพเจ้าได้จัดสร้างเสนาสนะถวายหลวงปู่ที่บนหลังถ้ำแก้วตาดบ่อ เขตบ้านทุ่งทรายจก ด้วยเห็นเป็นที่สงบสงัดและมีพลาญหินอันกว้างใหญ่ ด้านใต้ของถ้ำมีลำห้วยซึ่งมีน้ำตลอดปีเฉพาะบนหลังถ้ำมีแอ่งน้ำซับเล็ก ๆ ซึ่งแม้จะเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงเมตรเดียว แต่ก็มีน้ำซับไหลรินมาตลอดไม่เคยอด ไม่เคยหมดพระเณรอยู่จำพรรษารวมกันถึง 14 องค์ แต่ก็สามารถอาศัยใช้น้ำจากแอ่งน้ำซับเล็กนั้นได้ตลอดเวลา
สมัยนั้นภูวัวยังบริบูรณ์ด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ดังนั้นจำพวกช้าง หมี เสือ จึงเดินกรายเข้ามาในเขตวัดบ่อย ๆ พวกงูจงอาง และงูอื่น ๆ ก็มีมากเช่นกัน วันหนึ่งหลวงปู่ขาวไปภาวนาที่ถ้ำยาว บนหลังถ้ำฝุ่นลืมตาเห็นงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมา ชูคอแผ่พังพาน ตั้งท่าจะฉก จะกัดท่าน หลวงปู่ก็ภาวนาเฉยอยู่และแผ่เมตตาให้มัน ท่านเล่าว่างูนั้นแลบลิ้นแผล่บ ๆ ตั้งท่าฉกซ้ำ ๆ อยู่สุดท้ายก็กลับนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์อาการที่ชูคอแผ่พังพานของมันก็ค่อยลดต่ำลง และสุดท้ายมันก็ลดหัวต่ำลงจนจรดพื้นนิ่งเหมือนยอมคารวะอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเลื้อยหนีเข้าโพรงถ้ำหายไป หลวงปู่เล่าว่างูตัวนี้เป็นนาค ไม่ถูกจริตนิสัยกับท่านจึงมาหลอกล้อตั้งท่าจะกัด แต่ท้ายที่สุดก็ยอมอ่อนให้กับอำนาจการแผ่เมตตาของท่าน
บนตาดปอ นอกจากจะอุดมด้วยสัตว์ป่าแล้ว ยังมีพวกภูตผีปีศาจมารบกวนพระเณรด้วย พระเณรจะนอนก็มาปลุกบ้าง ดึงแขน ดึงขาบ้าง ให้ตื่นทำความเพียรมีพระเณรเจ็บป่วยกันมาก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผิดอากาศเป็นได้ ทางช้าง เสือ สัตว์ป่าก็มาก เมื่อเป็นเช่นนี้ หลวงปู่ขาวจึงให้ข้าพเจ้านำเรื่องนี้ไปพิจารณาดู
ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วได้ความว่า “ เยสนฺตา “ แปลว่า ผู้สงบไม่เดือดร้อน ไม่มีความทุกข์ใด ๆ ภัยอันตรายไม่มีแก่ผู้มีความสงบ
วันต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ท่านจึงถามว่า ได้ความไหม จึงกราบเรียนท่านว่าได้ความ ท่านว่า ได้ความอย่างไร ก็เรียนท่านว่า “ เยสนฺตา แปลว่า ความเป็นผู้สงบจะไม่มีความเดือนร้อน ความทุกข์ใด ๆ ความเดือดร้อน ความทุกข์ภัยใด ๆ จะไม่มีแก่ผู้สงบ
ท่านจึงว่า “ จริง....จริง ถูกทีเดียว “ และท่านได้กล่าวบาลีต่อไปอีกว่า “ นัตฺถิ สนฺติ ปรํสุขํ - ความสุขใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี ผู้มีความสงบแล้ว ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไร ความทุกข์ความเดือดร้อนไม่มีแก่ผู้สงบ จึงว่าสุขอื่นยิ่งกว่าสงบไม่มี...จริงทีเดียว
ในพรรษาที่ 14 นี้ มีแม่ชีซึ่งเป็นลูกหลานหลวงปู่ขาวมาจำพรรษาอยู่ด้วย ได้เป็นกำลังช่วยในการประกอบอาหารถวายพระเณรมาก เพราะตาดปออยู่ไกลหมู่บ้านมาก อาหารที่บิณฑบาตรได้ไม่ค่อยพอขบฉัน ต้องอาศัยศัทธาญาติโยมมาส่งเสบียงให้แม่ชีช่วยทำอาหารถวายจังหันเพิ่มเติม
พรรษานี้ มีแม่ชีคนหนึ่ง ชื่อ ชีหลอดได้มาตายที่ภูวัว
ขณะจำพรรษา กลางคืนก็พากันไปกางกลดหาที่วิเวกภาวนาตามพลาญหิน ที่หลังตาดปอนั้นเป็นที่เวิ้งว้าง อากาศสงัด สงบดีมาก มีที่วิเวกดีมาก กลางคืนเดือนหงายก็แยกย้ายกันไปหาที่วิเวกตามชายป่าบ้าง ตามหน้าผาบ้าง หลังพลาญหินบ้าง ต่อรุ่งสว่างจึงพากันกลับมาวัดแล้วไปบิณฑบาตหลวงปู่ท่านเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ไปบิณฑบาตรเป็นประจำมิได้ขาด
ระหว่างอยู่ที่ถ้ำแก้วนี้ ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่งเรียกว่า โรคฝีหัวดำ เป็นฝีที่ร้ายแรงมากเป็นที่นิ้วหัวแม่มือ มันปวดจับใจ และตามตัวก็รู้สึกร้อนเหมือนจับไข้เพราะพิษฝีด้วย กลางคืนนั่งพิงหมอนภาวนาอยู่ มือนี่วางไม่ได้ ต้องยกไว้ตลอดเพราะมันปวด ไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนแล้วเพราะนอนไม่หลับ ปวดฝีตุบ ๆ อยู่ตลอดเวลา พอนั่งภาวนาจิตกำลังจะนอน แต่ไม่หลับสนิท ได้เกิดนิมิตว่า มีโยมแก่คนหนึ่งขึ้นไปหา แล้วถามว่า “ โอ๊ะ ......อาจารย์เป็นอะไรนี่ “ บอกเขาว่า “ อาตมาเป็นฝีหัวดำ “
เขาก็ว่า “ ขอเบิ่งหน่อย “ แล้วเขาก็มาดูที่นิ้วหัวแม่มือของข้าพเจ้า บอกว่า “ แม่นแล้ว มา – จะเป่าให้ “
แกว่า แล้วก็เป่าลงที่นิ้วหัวแม่มือ แหม.....เย็นวาบเลย แล้วแกก็บอก “ พรุ่งนี้จะเอายามาใส่ให้ ใส่เสียก็หาย “ แกว่าอย่างนั้น
พอตื่นเช้า พระไปบิณฑบาตรกัน มีโยมคนหนึ่งนัยว่าเป็นหมอผีประจำบ้านแถวนั้น ขึ้นมาถวายจังหันพระ มาหาข้าพเจ้า แล้วมาดูฝีที่หัวแม่มือข้าพเจ้าเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ แล้วแกก็เข้าป่าไปหายามาให้ไปได้ยามาฝนใส่ให้ เป็นยาแก้ฝีมีพิษ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็หาย ถามแกว่า ยาแก้ฝีมีพิษนั้นคืออะไร แกว่า คือรากลำดวน รากลำดวนต้นก็ได้ รากลำดวนเครือก็ได้
ข้าพเจ้าจำได้สนิทใจ รากลำดวน ที่แก้ฝีที่ปวดบาดจิตบาดใจให้หายได้นั้นมีรากเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ยานี้ คนอื่นใช้จะหายไหมแต่ก็น่าจะลองดูน่าคิดว่ายาสนุนไพรของเรานั้นมีทุกหย่อมหญ้า แต่เราคนไทยมักจะมองข้ามของดีในชาติของเราไปเสียหมด
ในระหว่างที่จำพรรษา รับการอบรมจากหลวงปู่ขาวที่ภูวัวนี้ ข้าพเจ้าได้มีนิมิตที่ควรบันทึกไว้ เพื่อให้ประวัติสมบูรณ์ 2 คราว คือ
คราวแรกเมื่อมาอยู่ถ้ำแก้วใหม่ ๆ ได้เกิดนิมิตว่า มีแม่ชี 3 องค์ มาปรากฏกายขึ้น เมื่อกำหนดจิตถามว่าเป็นอะไรก็ได้รับคำตอบว่า เป็นพรหม แม่ชีทั้งสามบอกให้ข้าพเจ้าทราบถึงชาติกำเนิดที่ข้าพเจ้าเกี่ยวพันกับท่านพระอาจารย์มั่นในชาติก่อน และเสริมว่า “ ท่านอาจารย์องค์นี้ เวลาท่านไปหาท่านอาจารย์มั่นท่านเหาะไป ท่านอาจารย์มั่นแหงนหน้าดูแล้วพาเหาะด้วยกัน “ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า ทำไมชีที่ถ้ำแก้วจึงได้ทราบนิมิตครั้งโน้นของข้าพเจ้าที่เกิดขึ้นก่อนไปพบท่านพระอาจารย์มั่น
แล้วชีก็พูดกันอีกว่า “ ท่านอาจารย์องค์นี้น่ารักเหมือนอาจารย์ของเราคือ ท่านอาจารย์สุ่ย “ คงเป็นอาจารย์ของแม่ชีมาแต่ก่อน “ น่ารักจริง ๆ พวกเราต้องปรนนิบัติท่าน อารักขาท่าน ท่านมาแล้ว “
อีกครั้งหนึ่ง ระหว่างภาวนา จิตถอนก็เห็นเป็นนิมิตปรากฏขึ้นว่า ข้าพเจ้ากำลังเดินทางอยู่ในที่แห่งหนึ่งพอพ้นจากหมู่บ้าน ก็เห็นแม่น้ำกว้างสายหนึ่งขวางหน้าอยู่น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวมาก เปี่ยมฝั่ง คะเนดูคงเป็นแม่น้ำที่ลึกมาก ข้าพเจ้าตั้งใจคิดจะข้ามแม่น้ำให้ไปถึงฝั่งข้างโน้น แต่ก็ยังไม่เห็นวิธีที่จะข้ามอย่างไร
ฝั่งแม่น้ำนั้นลาดเหมือนฝั่งทะเลค่อย ๆ เทลงและชันเข้า ที่ฝั่งเป็นโคลนตมเละ ข้าพเจ้ามองดูโคลนตมนั้น แล้วก็คิดว่า ถ้าเราลงไปที่นั่น ก็คงจะจมลงมิดตัวเลย ต้องตกลงมิดศีรษะเลย บริเวณฝั่งระยะที่เป็นโคลนตมนั้น ไม่ใช่ใกล้กว่าจะไปถึงน้ำที่ไหลเชี่ยว ข้าพเจ้ามองไปอีกที เห็นรอยเท้าคนที่เพิ่งเดินข้ามไปได้ใหม่ ๆ ก็มี จึงคิดว่า เอ.....เราจะทำอย่างไรดี จึงจะข้ามแม่น้ำได้โคลนตมนี่มันเหลว ถ้าเราเดินข้ามโคลนตมก็คงจะจมลงไปเลย จะจมดิ่งลงไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ คงไม่มีวันจะโผล่ขึ้นมาได้เลย
รำพึงแล้วก็เลยหยุดพิจารณาและนึกอธิษฐานขึ้น อธิษฐานทั้ง ๆ ยืนเช่นนั้น “ เออ...นี่ถ้าเราจะข้ามน้ำไปถึงฝั่งโน้นได้ ก็ขอให้เราเดินข้ามโคลนตมน้ำไปให้ได้อย่าให้จมลงเลยอย่างลึกมากที่สุดก็ให้จมลงในโคลนตมนี้ถึงเพียงแค่เข่าเท่านั้น ถ้าเราจะข้ามแม่น้ำนี้ให้ได้ “
อธิษฐานแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มหยั่งเท้าค่อย ๆ เดินไปปรากฏว่าโคลนค่อย ๆ ลึกเข้าทีละน้อย พอถึงเพียงแค่เข่าพอดีก็พ้นจากโคลนตมและมีสะพานข้ามน้ำถึงฝั่งโน้น ข้าพเจ้าจึงขึ้นเดินบนสะพาน ได้ข้ามถึงฝั่งโน้น
พอขึ้นฝั่งได้แล้ว ก็เห็นม้ากินหญ้าอยู่บนริมฝั่งตัวหนึ่ง สีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว รูปร่างพ่วงพี ตัวสูงใหญ่สวยมากม้านั้นสวยมากจริง ๆ ท่าทางน่าขี่ข้าพเจ้าคิดว่าจะขึ้นขี่ม้าพอดีมีคนมาบอกว่า พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไป ให้รีบตามข้าพเจ้าได้ยินพระนามพระพุทธเจ้าก็เลยไม่สนใจกับม้ารีบออกเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้าไปทันที..แล้ว..จิตก็ถอนจากนิมิต
เมื่อปวารณาออกพรรษาแล้ว ต่างก็เตรียมแยกย้ายจากกัน พวกญาติโยมลูกหลานได้มานิมนต์หลวงปู่ขาวให้กลับสำนักเดิมคือวัดป่าแก้ว บ้านชุมพลส่วนข้าพเจ้าได้รับนิมนต์จากญาติโยมทางนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว ให้ไปช่วยงานฌาปนกิจศพท่านพระอาจารย์อ่อนศรี ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปโดยลงจากภูวัวไปตามฝั่งแม่น้ำโขง ผ่านบึงกาฬ โพนพิสัยและไปข้ามแม่น้ำโขงที่ท่าเดื่อ จังหวัดหนองคาย
เมื่อเสร็จงานศพท่านพระอาจารย์อ่อนศรีแล้ว ก็พากันเดินวิเวกขึ้นไปบนยอดภูเขาควายของประเทศลาวพักอยู่พอประมาณแล้วก็เดินทางกลับมาประเทศไทยมาพักวิเวกบำเพ็ญภาวนาต่อที่ภูวัว พักอยู่จนใกล้จะเข้าพรรษา จึงกลับไปจำพรรษาที่ดงหม้อทองเช่นเดิม