พรรษาที่ 11,13 พ.ศ. 2496 , 2498
จำพรรษาที่ดงหม้อทอง
อำเภอวานรนิวาส
ตั้งแต่พรรษาที่ 11 จนถึงพรรษาที่ 13 ข้าพเจ้าจำพรรษาอยู่ที่ดงหม้อทองโดยตลอด เพราะเป็นที่สงบสงัดดี สภาพของป่าดงดิบหนาทึบที่เต็มไปด้วยไม้ใหญ่ มีถ้ำ มีเงื้อมหินเผา และพลาญหินพร้อมทั้งสัตว์ป่าอันดุร้ายที่จะช่วยกำราบกิเลสให้อ่อนราบลง....เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องช่วยในการภาวนาทั้งนั้นการภาวนาดี จิตสงบ รวมเร็ว
เฉพาะพรรษาที่ 11 มีพระ 2 องค์ รวมทั้งข้าพเจ้าและเณร 1 องค์จำพรรษาอยู่ด้วยกัน โดยที่การคมนาคมลำบาก เพราะเป็นดงป่าหนาทึบจริง ๆ ข้าพเจ้าจึงชักชวนญาติโยม ช่วยกันตัดถนน จากดงหม้อทองมาออกบ้านมาย บ้านดู่ ใช้เวลา 3 เดือนจึงสำเร็จทำให้รถและเกวียนสามารถเดินไดตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ขาว ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณรังสีจังหวัดหนองคายแต่งคนให้มาหาข้าพเจ้า ให้ไปรับท่านออกมาวิเวก ให้หาสถานที่ที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยไปรับท่านระหว่างนั้นข้าพเจ้ามีเพื่อนพระภิกษุอีกองค์หนึ่ง แต่ท่านเป็นไข้ระยะแรกดงหม้อทองกันดารมากจะมีพระอยู่มากก็ไม่ได้เพราะมีบ้านบิณฑบาตเพียง 3 หลังคาเรือนเท่านั้นพอดีท่านพระอาจารย์สอน อุตตรปญฺโญ ธุดงค์มาถึงข้าพเจ้าจึงชวนให้อยู่เป็นเพื่อน เพื่อช่วยปรนนิบัติหลวงปู่และช่วยทำเสนาสนะถวายให้หลวงปู่และหมู่พวกที่จะติดตามท่านมา
ข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนจัดเสนาสนะพร้อมแล้วก็ไปรับหลวงปู่ขาวออกมาวิเวก ท่านพอใจความสงัดเงียบ เงื้อมถ้ำและพลาญหินที่ดงหม้อทองมาก จึงอยู่ต่อไปกระทั่งถึงเวลาเข้าพรรษา
หลวงปู่ และพระติดตามอีก 7 – 8 องค์ ผ้าขาว 2 คน และแม่ชีอีก 4 – 5 จึงตกลงอธิษฐานพรรษาอยู่ที่ดงหม้อทองด้วยกันทั้งหมด อาหารขบฉันก็ได้ชาวบ้านนำมาส่งเป็นเสบียงและอาศัยแม่ชีช่วยทำถวายเป็นหลักมากกว่าการบิณฑบาตเพราะระยะนั้นจำนวนญาติโยมมีน้อยกว่าพระมากนัก
พรรษาที่ 12 พ.ศ. 2497 ซึ่งหลวงปู่ขาวมาจำพรรษาด้วยนี้ ต่างพากันปรารภความพากความเพียรอย่างเต็มความสามารถของตน ฉันเสร็จ ต่างองค์ต่างก็แยกกันไปทำความเพียร ประมาณบ่าย 3 โมง กวาดตาด ( กวาดลานวัด ) แล้วก็ไปรวมกันสรงน้ำหลวงปู่ เสร็จแล้วต่างสรงน้ำและฉันน้ำร้อนแล้วกลับไปเดินจงกรมต่างองค์ต่างสวดมนต์ ตอนเย็นไปรวมกันที่ศาลาถ้าใครมีปัญหาก็เรียนถามหลวงปู่ บางวันท่านก็เทศน์ บางวันก็ไม่เทศน์ เพียงแต่สนทนาธรรม แต่สำหรับวันพระนั้นพระเณร ชีมารวมกันฟังธรรมหลวงปู่หมดทุกองค์
ระหว่างอยู่ดงหม้อทองกับหลวงปู่ขาวนี้ กลางคืนวันหนึ่งได้ลงอุโบสถปรากฏมีพวกเสือเขามากัดกันข้างก้อนหิน ข้างกุฏิที่พระกำลังลงอุโบสถ ฟังจากเสียงที่กัดหยอกล้อกันนั้นคงจะมีเสือหลายตัวอยู่ มันกัดกันเล่นกันตั้งแต่พระเริ่มสวดปฏิโมกข์ จนกระทั่งสวดปาฏิโมกข์จบ มันก็ยังไม่เลิกกันกันร้องหยอกล้อต่อกัน ต่อเมื่อภายหลังหลวงปู่ท่านคงจะรำคาญจึงตวาดเอ็ดตะโรออกไปมันจึงค่อยสงบลงแต่ก็ครางอู้อี้ต่อไปอีกพักใหญ่
อีกวันหนึ่ง ตอนบ่ายเวลาประมาณบ่ายโมง ข้าพเจ้ากำลังนั่งพักผ่อนอยู่บนกุฏิเห็นช้างป่าโขลงใหญ่พากันยกขบวนเข้ามาหากินในเขตวัด บ้างก็หักกิ่งไม้ดังสนั่น บ้างก็ลงกินน้ำในห้วยซึ่งอยู่เบื้องล่างกุฏิของข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนได้เลือกชัยภูมิสร้างกุฏิกันเป็นอย่างดี โดยต่างสร้างกุฏิบนหลังพลาญหินก้อนสูงใหญ่ซึ่งต่างมีขนาดสูงใหญ่ไล่เลี่ยกัน คือแต่ละก้อนต่างกว้างประมาณกว่าห้าเมตรยาวเกือบยี่สิบเมตรและสูงถึงกว่าสิบห้าเมตรพลาญหินทั้งสองก้อนที่ข้าพเจ้าและท่านพระอาจารย์สอนตั้งกุฏิอยู่ จึงเป็นเหมือนกำแพงแท่งศิลาทึบ ยาวเหยียดตั้งขนานกันโดยตรงระหว่างกลางมีห้วยหนองน้ำคั่นอยู่ ซึ่งมีสัตว์ป่านานาชนิดชอบลัดเลาะเข้ามาหาอาหารและกินน้ำเป็นประจำเวลานั่งบนกุฏิหรือเดินจงกรมอยู่บนพลาญหิน จึงสามารถเห็น เก้ง กวาง ช้าง เสือ หมูป่า หรือหมี เข้ามาเดินท่องไพรอยู่ข้างล่างได้อย่างถนัดตา สำหรับบ่ายวันนั้นช้างฝูงนั้นคงจะสำราญใจเต็มที่ มันจึงเข้ามาเดินเที่ยวกันอย่างเสรี เท่าที่เห็นด้วยตา มันมาอยู่ที่เชิงหินริมห้วยก็สิบกว่าตัวแล้วแต่ที่ยังอยู่ในป่าใกล้ ๆ ก็คงจะมีอีกเป็นจำนวนไม่น้อยเพราะฟังจากเสียงที่มันหักกิ่งไผ่ กิ่งยาง ทิ้งถอนต้นไม้เล็กก็ดังสนั่นไปทั้งป่า
อย่างไรก็ดีเสนาสนะในดงหม้อทองนี้ ใช่ว่ากุฏิทุกหลังจะปลอดภัยจากสัตว์ป่าเสมอไปก็หาไม่บางหลังอาจจะอยู่ในชัยภูมิที่ปลอดภัยจากช้าง แต่ก็อาจจะมีเสือเข้ามาเยี่ยมกรายได้ อย่างเช่น กุฏิของพระบุญทัน ท่านกำลังจะออกจากกุฏิมองออกไปเห็นเสือใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามานั่งจงโคร่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้นกุฏิของท่าน ท่านต้องรออยู่พักใหญ่ จนเสือจากไปแล้วจึงสามารถออกจากกุฏิได้
คืนหนึ่ง พระเณรฉันอาหารธาตุขันธ์ไม่ถูกกันก็จะต้องรีบเข้าส้วม ท่านพระอาจารย์สอนไปไม่ทันเณร ซึ่งวิ่งถลันเข้าไปจับจองก่อน ธาตุขันธ์ไม่ยอมรอเวลา ท่านจึงต้องเลี่ยงเข้าป่าไป ปรากฏมีเสือกระโดดข้ามศีรษะท่านสอนไปเลย ท่านว่าท่านรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เสือมันกระโจนเข้าไปทางส้วมที่เณรกำลังอยู่ พอรู้ว่าเสือ เณรก็กระโจนแผล็ววิ่งออกมาป่าราบเคราะห์ดีที่เจ้าเสือตัวนั้นมันคงผ่านเข้าป่าไปแล้ว เณรจึงไม่ต้องประจันหน้ากับมัน
กุฏิของหลวงปู่ขาว อยู่ห่างจากกุฏิของข้าพเจ้าและของท่านพระอาจารย์สอนเข้าไปในแนวป่าอีกด้านหนึ่ง ตั้งอยู่บนพลาญหินเช่นเดียวกัน แต่มิได้เป็นหินก้อนโดด ๆ เหมือนเป็นภูเขาลูกย่อม ๆ เช่นของเราด้านหนึ่งของพลาญหินของหลวงปู่ อยู่ติดกับราวป่าผ้าขาวที่ติดตามท่านมา ปลูกกระต๊อบอยู่ลึกเข้าไปในป่าทางด้านนั้น ฉะนั้นวันหนึ่งช้างจึงเดินเล่นเลยขึ้นมาบนพลาญหินและต่อไปถึงกระต๊อบของผ้าขาวผู้นั้นมันเอางวงหยิบรองเท้าออกมาเล่นและโยนเข้าป่าไปถอนบันไดกุฏิออกมาและโยนเข้าป่าไปด้วย มันเอางวงควานหาของเล่นอยู่พักใหญ่ เห็นหมดเครื่องกีดหน้าขวางตาแล้ว ก็เตรียมลาจากไปแต่ก็ยังอดนึกสนุกไม่ได้มันเอางวงมาดุน – ดุนฝาจนกุฏิแทบโยก ปกติผ้าขาวเจ้าของกระต๊อบนั้นเป็นคนหูหนัก อาจจะไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ระหว่างช้างมันยื่นงวงเข้ามาหยิบรองเท้าโยกบันไดแต่เมื่อถึงคราวฝากกระต๊อบของแกโยกผ้าขาวก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้พอเห็นว่าเป็นช้างป่าแกก็กระโจนหนีไปหาหลวงปู่ที่กุฏิทันทีตัวสั่นงันงก พูดไม่ออกไปพักใหญ่เสียเวลาซักไซ้ไล่เลียงกันนานกว่าจะรู้เรื่องและตั้งสติได้
การที่มีสัตว์ป่าเข้ามาเยี่ยมกรายเราบ่อย ๆ นี้ทำให้บรรดาพระเณรพากันระมัดระวังตัว ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญความเพียรอย่างขะมักเขม้นมิได้ประมาทเลย
ออกพรรษา ข้าพเจ้าได้ลาหลวงปู่ออกเดินวิเวกมาทางภูวัว พอกลับจากภูวัวมาถึงดงหม้อทอง ก็ไม่ได้พบท่านเพราะหลวงปู่ขาวท่านได้กลับไปวัดป่าแก้วบ้านชุมพลแล้ว
พรรษาที่ 13 ข้าพเจ้าคงจำพรรษาที่ดงหม้อทองอีกวาระหนึ่ง พรรษานี้ มีหลวงปู่คำอ้าย ผู้เป็นชาวเชียงใหม่และเป็นลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นมาจำพรรษาอยู่ด้วย ท่านพระอาจารย์มั่นเคยแต่งให้ท่านมากำกับข้าพเจ้าครั้งหนึ่งแล้ว ระหว่างท่านส่งให้ข้าพเจ้าไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านเหล่ามันแกว บ้านเดิมของข้าพเจ้าเมื่อพรรษาที่ 7
ระหว่างพรรษานี้ คืนหนึ่งได้นิมิตว่ามีภิกษุณีองค์หนึ่งมาเทศน์ให้ฟัง ก่อนจะเทศน์เมื่อท่านมาปรากฏองค์ รู้สึกว่า งามมาก ข้าพเจ้าจึงถามว่าท่านเป็นใครท่านก็ตอบว่าเป็นภิกษุณีอรหันต์และบอกชื่อให้ข้าพเจ้าทราบด้วยเมื่อท่านบอกชื่อแล้วท่านก็ก้มลงกราบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตกใจ จะรีบกราบตอบเพราะทราบว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านก็ยกมือห้ามทันที ทำให้ข้าพเจ้าระลึกได้ถึงพระธรรมวินัยที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุณีแม้จะเป็นอรหันต์จะต้องกราบภิกษุเสมอ แม้ภิกษุนั้นจะเพิ่งบวชในวันนั้นก็ตาม...
โอวาทที่ท่านเมตตาเทศน์ให้ข้าพเจ้าฟังนั้น มีอรรถรส ดื่มด่ำ น่าฟังอย่างยิ่ง
พอออกพรรษาได้ล่ำลากันไปหาที่วิเวกโดยข้าพเจ้าได้เดินทางไปทางภูวัวอีก ในระยะนี้หลวงปู่ขาวท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านเลื่อม ทางทิศตะวันตกของจังหวัดอุดร เพราะท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล ) ได้อาราธนาท่านให้ไปฉลองศรัทธาชาวบ้านเลื่อม ท่านจึงไปจำพรรษาที่นั่น เมื่อออกพรรษาแล้วท่านทราบว่า ข้าพเจ้าธุดงค์ไปที่ภูวัว ท่านก็แต่งญาติโยมให้มาหาข้าพเจ้าที่ภูวัวให้ข้าพเจ้าไปรับท่านเพื่อจะไปจะพรรษาที่ภูวัวด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงไปรับท่านจากที่อุดรมาเพื่อไปจำพรรษาที่ภูวัว

ท่านพระอาจารย์สอน อุตตรปณฺโญ และท่านพระอาจารย์คำ กาญจนวณฺโณ ยืนอยู่ตรงจุดที่เคยสร้างศาลาพระทำปาฎิโมก และมีเสือมากัดหยอกล้อกันที่นี่

สะพานไม้เชื่อมระหว่างโขดหิน

สภาพกุฎิที่ดงหม้อทอง ท่านนั่งดูโขลงช้างมากินน้ำบนนี้ และบนลานหินซ้ายมือ ท่านเอาปี๊บคว่ำนั่งภาวนา

ทางเดินจงกรมบนหลังโขดหิน